PostHeaderIcon จริงไม๊? แตงกวาขมเพราะงูเลื้อยผ่าน


จริงหรือ? ′แตงกวา′ขมเพราะงูเลื้อยผ่าน
ความจริงแล้วรสขมที่เกิดขึ้นในแตงกวาบางลูกนั้น ไม่เกี่ยวกับงูเลื้อยผ่านแต่อย่างใด แต่เกิดจากสารควบคุมความขมในผักตระกูลแตงที่ชื่อว่า Cucurbitacin ซึ่งหากเมื่อใดก็ตามที่สารนี้มีคุณสมบัติเป็นยีนเด่นแตงกวาลูกนั้นก็จะมีรสขม และในทางกลับกันหากเป็นยีนด้อยแตงกวาลูกนั้นก็จะไม่มีรสขม

นอกจากนี้ยังมีเอนไซม์ที่ชื่อว่าElaterase อีกตัวที่กำหนดระดับความขม ครกไม้ โดยตัวมันเองมีหน้าที่ดึงน้ำออกจากสาร Cucurbitacin หากน้ำถูกดึงออกไปมากแตงกวาก็จะมีรสขมน้อยนั่นเอง   ในแตงกวามีปริมาณน้ำ 96% และมีคุณสมบัติช่วยในการดับร้อนให้กับร่างกาย ชะลอม

………….

ที่มา : สวทช.

PostHeaderIcon ต้มไข่ไม่ใช้น้ำ

ต้มไข่ไม่ใช้น้ำ

PostHeaderIcon กล้วย 4 ผล

กล้วย เป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณมากมาย สามารถนำมาทำอาหารได้หลายชนิด อีกทั้งยังดีต่อสุขภาพทั้งภาพในและภายนอก หลายคนอาจชอบทานกล้วยกันอยู่แล้ว แต่รู้ไหมว่ากล้วยนั้นไม่ได้มีประโยชน์เพียงตอนสุกเท่านั้น แต่ในทุกระยะกล้วยต่างก็มีประโยชน์ด้วยกันทั้งสิ้น วันนี้ที่นี่ดอทคอมขอนำเสนอประโยชน์จากกล้วย 4 วัย ที่ทานแล้วได้ประโยชน์

1. กล้วยดิบ

ลักษณะที่เด่นชัดคือ มีเปลือกสีเขียวสด เนื้อกล้วยมีสีขาว หากจับดูจะแข็งกว่ากล้วยระยะอื่นๆ ในกล้วยดิบนี้จะมีรสฝาดซึ่งมีสารชื่อว่า แทนนิน ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย และช่วยป้องกันผนังกระเพาะลำไส้ไม่ให้เชื้อโรคและอาหารรสเผ็ดจัด เช่น พริก เข้าไปทำลายผนังกระเพาะลำไส้ ช่วยแก้ท้องเสีย

2. กล้วยที่เพิ่งเริ่มสุก (กล้วยห่าม)

สังเกตุง่ายๆ คือ เปลือกยังมีสีเขียวอยู่ประปราย ลักษณะจะมีความนุ่มมากขึ้น สามารถเป็นได้ทั้งยาและอาหารที่ดีมากสำหรับคนท้องเสีย เพราะนอกจากจะช่วยแก้ท้องเสียแล้ว ยังช่วยหล่อลื่นลำไส้ ช่วยเพิ่มกากเวลาขับถ่าย กล้วยระยะนี้มีธาตุโพแทสเซียมสูงมาก ดังนั้นเวลาท้องเสียแล้วรับประทานกล้วยห่าม เท่ากับให้ธาตุโพแทสเซียมไปด้วย

3. กล้วยสุก

จะมีสีเหลืองเพิ่มมากขึ้น และอาจมีจุดสีน้ำตาลประปราย มีความนิ่มมากขึ้น กล้วยระยะนี้เป็นยาระบายแก้ท้องผูกที่ดีที่สุด เพราะมีสารเพ็กตินอยู่มาก ช่วยเพิ่มกากในลำไส้ หากรับประทานเป็นประจำวันละ 5-6 ลูก จะเห็นผลว่าการขับถ่ายดีขึ้น


4. กล้วยสุกงอม

มีสีน้ำตาลมากขึ้นตามเปลือกกล้วย และมีความนิ่มมากที่สุด ส่วนใหญ่คนมักไม่นิยมรับประทานกล้วยระยะนี้ เพราะคิดว่ามันคงเน่าแล้ว กล้วยที่สุกเต็มที่จะสร้างสารที่เรียกว่า TNF ซึ่งมีความสามารถที่จะไปต่อสู้กับเซลล์ที่ผิดปกติ ยิ่งกล้วยสุกมากเท่าไหร่ ก็จะเกิดจุดสีดำที่เปลือกมากขึ้น ยิ่งมีจุดดำนี้มากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้เกิดภูมิต้านทานมากขึ้น

ซึ่งในการทดลองโดยศาสตราจารย์ญี่ปุ่นแห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว ในการเปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้จากผลไม้ต่างๆ พบว่าว่า กล้วยให้ผลดีที่สุด มันช่วยให้เม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น เพิ่มภูมิต้านทานของร่างกาย และสร้างสารต้านมะเร็ง


ต่อไปนี้เราก็สามารถทานกล้วยได้อย่างมีความสุขมากขึ้นแล้วนะคะ เพราะกล้วยทุกระยะนั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากจริงๆ หากทานไม่ทัน กลัวว่าจะเน่าก่อน ก็นำไปแปรรูปเป็นอาหารอื่นๆ ที่คุณชอบก็ได้ค่ะ

เรียบเรียงโดยที่นี่ดอทคอม

ขอบคุณข้อมูลจาก :: www.thaihealth.or.th

PostHeaderIcon อย่ามองข้าม

PostHeaderIcon วังน้ำวนอันดับ3 ของโลก

น้ำวนอุซึชิโอะที่ช่องแคบนารุโตะ จังหวัดเอียวโงะ

อีกหนึ่งปรากฎการณ์ตามธรรมชาติที่น่าแปลกใจ น้ำวนจะเกิดขึ้นทุกๆ 6 ชั่วโมง ซึ่งเส้นผ่านศูนย์กลางของน้ำวนจะใหญ่หรือเล็กขึ้นอยู่กับอิทธิพลของระดับน้ำทะเลที่ไหลจากระดับสูงสู่ระดับต่ำ และจะมีความเร็วได้ถึง 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

น้ำวนอุซึชิโอะขนาดใหญ่สุดนั้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 30 เมตร

ซึ่งถือว่าเป็นน้ำวนที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของโลกอีกด้วย

ส่วนใครที่กลัวว่าการนั่งเรือไปชมใกล้ๆ นั้นจะปลอดภัยหรือไม่ บอกได้เลยว่าน้ำวนยักษ์นี้ไม่มีความรุนแรงพอที่จะลากเรือนำเที่ยวขนาดใหญ่ได้ และถ้าจะดูแบบชัดๆ ก็มีแต่ต้องลงเรือไปดูนี่แหละ ก่อนไปแนะนำให้เช็คตารางเดินเรือให้ดีก่อนทุกครั้ง เพราะบางวันที่คลื่นลมสงบก็อาจไม่เกิดปรากฎการณ์น้ำวนเช่นกัน

เรือท่องเที่ยวชมน้ำวนจะเปิดให้บริการทุกวัน โดยจะแล่นออกจากท่าเรือซึ่งอยู่ในอ่าวฟุคุระ ห่างจากคิวกะมุระประมาณ 10 นาทีโดยรถยนต์ และจะมีส่วนลด 300 เยน สำหรับผู้ที่ซื้อตั๋วเรือชมน้ำวนจากคิวกะมุระ มินามิ อาวาจิด้วย ตั๋วนั่งเรือชมน้ำวน(ทั่วไป) ผู้ใหญ่ราคา 2,000 เยนเด็ก 1,000 เยนค่ะ

เรียบเรียงโดยทีมงานที่นี่ดอทคอม
ขอบคุณคลิปจาก Youtube.com
ขอบคุณภาพจาก travel.truelife.com

PostHeaderIcon แพนควินกับคน


เมื่อ 37 ล้านปีก่อน “เพนกวิน” สูงกว่า “มนุษย์”!?


ผลการศึกษาวิเคราะห์พบว่า เมื่อ 37 ล้านปีที่แล้ว “เพนกวิน” มีขนาดใหญ่โตกว่าเพนกวินในปัจจุบันและยังมีขนาดสูงใหญ่มากกว่า “มนุษย์”

สำนักข่าวเดอะ การ์เดี้ยนรายงานว่า ทีมนักวิเคราะห์ซากฟอสซิล จากพิพิธภัณฑ์ La Plata ในประเทศอาร์เจนตินา ค้นพบว่า สายพันธ์ “เพนกวิน” เมื่อหลายพันล้านปีก่อน ว่า ไม่ได้มีขนาดแคระเท่ากับในปัจจุบัน เพราะเวลาที่มันยืนอย่างเต็มตัวพวกมันจะมีขนาดสูงมากกว่ามนุษย์ โดยทีมนักวิเคราะห์ได้ทำการค้นคว้าและเปรียบเทียบซากฟอสซิลที่สมบูรณ์ที่สุดของเพนกวินเมื่อ 37 ล้านปีก่อน ที่ถูกค้นพบใต้พื้นดินโลก ซึ่งประกอบไปด้วย ส่วนกระดูกเท้า กระดูกข้อเท้า และกระดูกส่วนปีก

ทั้งนี้ จากการวิจัยกระดูกเหล่านี้ ทำให้พบว่า หากสายพันธ์ “เพนกวิน” เมื่อ 37 ล้านปีก่อนนี้ ยืนขึ้นล่ะก็มันจะมีความสูงสูงสุดมากถึง 2 เมตรเลยทีเดียว และจะมีน้ำหนักมากถึง 115 กิโลกรัม แต่หากเป็นเพนกวินตัวปกติทั่วไปก็ยังคงมีความสูงมากถึง 1.6 เมตร โดยจากการศึกษาในครั้งนี้ยังทำให้พบอีกว่า เพนกวิน ที่มีขนาดตัวใหญ่มากแบบนี้นั้น มีข้อดีอยู่พอสมควร เพราะว่าจะช่วยให้มันสามารถดำน้ำลงไปหาอาหารรับประทานได้นานมากยิ่งขึ้น เมื่อเทียบกับ เพนกวิน ที่มีขนาดเล็ก ซึ่ง เพนกวิน ขนาดใหญ่เหล่านี้จะสามารถอยู่ใต้น้ำได้นานถึง 40 นาที

อย่างไรก็ตาม การค้นพบซากฟอสซิลของเพนกวินยักษ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก เพราะเมื่อปี 2007 เองนั้น ก็เคยค้นพบ เพนกวิน อีกสายพันธ์หนึ่งมาแล้ว โดยค้นพบในประเทศเปรู และยังพบว่า เพนกวิน นั้นมีอายุมามากกว่า 36 ล้านปี

แต่มีขนาดเล็กกว่าที่ค้นพบในครั้งนี้เล็กน้อย ซึ่งมีขนาดความสูงเพียง 1.5 เมตร

www.teenee.com

PostHeaderIcon ไอเดียร์คนจีน

คลิปแกงจืดกระดูกหมูด้วยเครื่องซักผ้า

PostHeaderIcon เซลล์มะเร็งต้องการอะไร

1. น้ำตาล เช่น น้ำตาลทรายขาว โดยใช้น้ำตาลจากธรรมชาติแทน เช่น น้ำผึ้ง แต่ต้องใช้ในปริมาณที่น้อยมาก เกลือ มีสารจำเป็นที่เซลล์มะเร็งนำไปใช้ ควรงด หรือในปริมาณน้อย

2. นม ควรดื่ม นำนมถั่วเหลืองทดแทน

3. เซลล์มะเร็ง เจริญเติบโตในสภาพที่เป็นกรด การบริโภคเนื้อสัตว์ทำให้เกิดสภาพเป็นกรด ควรรับประทานอาหารประเภทปลา ดีกว่าหมู เนื้อ และเนื้อสัตว์ มีแบคทีเรีย ใช้โฮโมนในการเจริญเติบโตปนเปื้อน ที่เป็นอันตรายต่อคนไข้ที่เป็นมะเร็ง

4. 80% ของผักและนำผลไม้สด ถั่วเมล็ดแห้ง ธัญพืช จะช่วยให้ร่างกายมีสภาพเป็นด่าง 20% จากอาหารที่ปรุงแล้ว น้ำผักและผลไม้สด จะให้เอนไซม์ที่ง่ายต่อการดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย เพื่อไปเสริมสร้างความแข็งแรงให้เซลล์ที่ดี ดังนั้นควรดื่มน้ำผักสด และกินผักดิบ 2-3 ครั้งต่อวัน

5. หลีกเลี่ยงชา กาแฟ ช็อกโกแลต ที่มีคาเฟอีนที่สูง เป็นดื่มชาเขียวที่มี สารต้านมะเร็ง ดื่มน้ำสะอาด หรือน้ำกรองดีที่สุด หลีกเลี่ยงน้ำประปา และเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ที่มีสภาพเป็นกรด

6. เนื้อสัตว์ ย่อยยาก และต้องการเอนไซม์ในการย่อยเป็นจำนวนมาก และเนื้อที่ย่อยไม่หมด จะคงตกค้างอยู่ในลำไส้ อันนำไปสู่สารพิษตกค้าง

7. เซลล์มะเร็ง มีโปรตีนที่ยากแก่การทำลายเป็นเกราะป้องกัน การบริโภคเนื้อสัตว์น้อยลง จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายไปทำลายเซลล์มะเร็งได้ง่ายขึ้น

8. อาหารเสริมบางอย่างช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบภูมิคุ้มกัน เพื่อไปทำลายเซลล์มะเร็ง เช่น วิตามินอี วิตามินซี

9. เซลล์มะเร็ง เป็นเชื้อโรคของจิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ การควบคุมอารมณ์ และมองโลกในแง่ดีจะช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น อารมณ์โกรธ หรือความเครียดจะสร้างสภาพความเป็นกรดให้ร่างกาย ควรเรียนรู้ที่จะรัก และให้อภัย พักผ่อนและสนุกกับการใช้ชีวิต

10. เซลล์มะเร็งไม่สามารถเจริญเติบโตในที่มีออกซิเจนได้ การออกกำลังกายทุกวัน และหายใจเข้าลึกลึก จะช่วยเพิ่มระดับ ออกซิเจนในเซลล์ การบำบัดด้วยออกซิเจนก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะทำลายเซลล์มะเร็ง

ถ้ารู้อย่างนี้แล้ว ไม่อยากเป็นมะเร็ง หันมาดูแลรักษาสุขภาพกันดีกว่านะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : ศูนย์สุขภาพ บ้านดอยฟ้า

PostHeaderIcon เรื่อง..สับปะรด

 
 

 
สับปะรด เป็นผลไม้ยอดนิยม มีขายอยู่ทั่วไปตลอดทั้งปี หลายๆ คนอาจจะทราบว่า ประโยชน์ของสับปะรดที่คุ้นเคยกันก็คือ มีวิตามินซี ,ช่วยย่อยอาหาร แต่จริงๆ แล้วสับปะรดมีคุณประโยชน์อีกหลายอย่างที่เรามองข้ามไปคือ


1. กำจัดพยาธิ

คุณสมบัติพิเศษของสับปะรดคือ ช่วยกำจัดพยาธิ เมื่อบริโภคในตอนเช้าขณะท้องว่าง แต่มีข้อจำกัดสำหรับคนที่มีปัญหา โรคกรดไหลย้อน,โรคกระเพาะอาหาร ไม่ควรดื่มน้ำผลไม้ที่เป็นกรดในขณะท้องว่าง


2. ช่วยปกป้องตับ

สับปะรดช่วยกระตุ้นการหลั่งของน้ำดี และช่วยในการขจัดไขมันและคอเลสเตอรอล สับปะรดถือเป็นยาชูกำลังที่ดีสำหรับตับ และแนะนำให้ทานในช่วงที่ ทำงานหรือใช้แรงมากเกินกำลัง (overexertion)


3. ช่วยกระตุ้นและเผาผลาญไขมัน

สับปะรดมีเอนไซม์ที่มีชื่อเสียงในโลกของการแพทย์ที่เรียกว่า Bromelain “เอนไซม์ที่กินไขมัน” สับปะรดนิยมใช้เป็นอาหารความคุมน้ำหนัก สามารถช่วยเร่งการเผาผลาญอาหารและเผาผลาญไขมัน


4. ควบคุมความตึงของหลอดเลือด

จะแนะนำสับปะรดให้บุคคลที่มีความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด สับปะรดจะช่วยลดความตึงของหลอดเลือด และป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด

www.teenee.com

PostHeaderIcon นิสัยที่ทำให้สมองพัง

1.ไม่ทานอาหารเช้า หลายคนคิดว่าไม่ทานอาหารเช้า แล้วจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ แต่นี้จะเป็นสาเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ทำให้สมองเสื่อม

2. กินอาหารมากเกินไป การกินมากเกินไปจะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นสาเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น

3. การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุให้เป็นโรคสมองฝ่อและเป็นสาเหตุของโรคอัลไซเมอร์

4. ทานของหวานมากเกินไป การกินของหวานมาก จะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีนและสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาองสมอง

5. มลภาวะ สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกายการสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อยส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง

6. การอดนอน การนอนหลับจะทำให้สมองได้พักผ่อนการอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้

7. นอนคลุมโปง การนอนคลุมโปง จะเป็นการเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้นและลดออกซิเจนให้น้อยลงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมอง

8. ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย การทำงานหรือเรียนขณะที่กำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว

9. ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมองการขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ

10. เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะทางการพูดจะเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง

รู้หรือยังค่ะว่าสมองมีความสำคัญมากแค่ไหน ดังนั่นเราควรที่จะหันมาบำรุงสมองแทนการทำร้ายสมองกันดีกว่ามั้ย


ที่มา : http://www.vcharkarn.com/