Archive for December, 2012

PostHeaderIcon รัสเซียฟันธง’วันสิ้นโลก2036′ มนุษย์สังเวย10ล้านชีวิต!

 
 

 

ภาพยนตร์เรื่อง 2012 วันสิ้นโลก หนังฮอลลีวู้ดเมื่อหลายปีก่อน ทำเอามนุษย์โลกหวาดผวาและตื่นกลัวว่าโลกจะถึงกาลแตกดับลงจริงๆ 


จากคำทำนายของหลายสำนักที่หนังนำมาอ้างอิง แต่นักวิทยาศาสตร์รัสเซีย ชาติมหาอำนาจด้านอวกาศที่มีเทคโนโลยีด้านอวกาศก้าวหน้าไม่แพ้สหรัฐออกมาฟันธงว่า ระบุวันอาร์มาเก็ดดอน หรือวันสิ้นโลกตามพระคัมภีร์ของคริสต์ได้แล้ว โดยไม่ได้อยู่ในปี ค.ศ.2012 แต่จะเกิดขึ้นในอีก 24 ปีข้างหน้า หรือในปี ค.ศ.2036 (พ.ศ.2579)

ศ.ลีโอนิด โซโคลอฟ จากมหาวิทยาลัยเซนต์ปีเตอร์ สเบิร์กในรัสเซีย กล่าวว่า อุกกาบาตที่ชื่อ อะโพฟิส รหัส 99942 มฤตยูที่จะเดินทางมาชนโลก จะเข้ามาใกล้โลกที่ระยะ 37,000-38,000 กิโลเมตร ในวันที่ 13 เม.ย.2029 และมีแนวโน้มจะเข้ามาชนโลกในวันที่ 13 เม.ย.2036 

ย้อนไปเมื่อปี 2547 มีการค้นพบอุกกาบาต อะโพฟิส รหัส 99942 ครั้งแรกว่าเป็นวัตถุอวกาศที่จะเข้ามาอยู่ในโซนอันตรายต่อโลก มีขนาดกว้าง 300 เมตร

เครื่องมือจำลองสถานการณ์ของมหาวิทยาลัยเซาท์แธมป์ตันในอังกฤษชี้ว่า ความเสียหายจะเลวร้ายมากแค่ไหนขึ้นอยู่กับพื้นที่ที่มันพุ่งชน ส่วนที่เลวร้ายที่สุดประเมินว่าจะมีผู้เสียชีวิตมากถึง 10 ล้านราย แต่ก็ยังมีหลายเหตุผลที่ปลอบไม่ให้ตื่นตระหนก หนึ่งในนั้นคือความจริงที่ว่า มันอาจจะแตกตัวและเศษเล็กเศษน้อยอาจจะตกลงมาใส่โลกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า อีกเหตุผลที่ไม่ควรกลัวคือโลกจะได้รับคำเตือนก่อนแน่นอน

โดนัลด์ เยียแมนส์ หัวหน้าสำนักงานวัตถุใกล้โลกขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐ หรือนาซ่า กล่าวว่า ในปี 2029 เมื่อมันแกว่งเข้ามาใกล้โลก เราจะพบว่าอะโพฟิสมีหลุมแรงดึงดูดที่จะลากมันเข้ามาในวงโคจรโลกในอีก 7 ปีให้หลังหรือไม่ ช่องว่างมีเพียงแค่ 600 เมตร ดังนั้น จึงยังพอมีโอกาสที่มันจะไม่เกิดขึ้น

ศ.โซโคลอฟ กล่าวด้วยว่า ภารกิจของนักวิทยาศาสตร์รัสเซียเวลานี้คือการพิจารณาทางเลือกและพัฒนาโครงการและแผนปฏิบัติการเพื่อรับมือกับอะโพฟิส

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด

PostHeaderIcon พบบั๊ก Galaxy S3 แฮคข้อมูลได้

 
 

 
พบช่องโหว่ หรือข้อผิดพลาดในแกนการทำงานหลักของระบบปฏิบัติการ Android บนมือถือ Samsung Galaxy S2 และ Galaxy S3 ซึ่งส่งผลให้มือสองรุ่นนี้สามารถถูกโจมตีจากแอพอันตรายได้ โดยข้อมูลดังกล่าวถูกเปิดเผยในงานประชุมนักพัฒนาโมบายเมื่อช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา

สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากแกนการทำงานหลัก (Kernel) ของ Android ที่มีการพัฒนา และปรับปรุงการทำงานโดย Samsung ได้เปิดโอกาสให้แฮคเกอร์สามารถเข้าถึง และ “อ่าน” หรือ “เขียน” หน่วยความจำ (Physical RAM) บนอุปกรณ์กรณได้ทั้งหมด ซึ่งรวมถึงแกนการทำงานหลักด้วย แฮคเกอร์ที่ใช้ชื่อว่า alephzain โพสต์ใน XDA Developers เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ช่องโหว่ดังกล่าวพบได้ใน Galaxy S3 ที่ยังไม่ได้แฟลชด้วย ODIN โดยข้อผิดพลาดของการทำงานที่พบนี้จะทำให้ง่ายมากในการที่แฮคเกอร์จะเข้าทำการ root อุปกรณ์ของคุณ แถมยังสามารถเปิดช่องให้สามารถโจมตี Galaxy S3 ในลักษณะต่างๆได้อย่างเช่น การยิงโค้ดอันตรายเข้าไปในชุดคำสั่งที่อยู่ในแกนการทำงานหลักของระบบ หรือ Kernel การดัมพ์ข้อมูลในหน่วยความจำ (คล้ายๆ กับการทำให้เกิด BSOD บน Windows)

ในขณะที่ช่องโหว่ทีพบค่อนข้างร้ายแรง แต่มันสามารถพบได้ในอุปกรณ์ Galaxy หลายๆ รุ่น โดยเฉพาะเครื่องทีใช้โพรเซสเซอร์ Exynos ซึ่งมือถือของ Samsung Galaxy S2 & S3 ในสหรัฐฯ อาจจะไม่ได้รับผลกระทบจากช่องโหว่ดังกล่าว เพราะไม่ได้ใช้ Exynos สำหรับมือถือ และแท็บเล็ตทีใช้ชิป Exynos 4210 และ 4412 ซึ่งได้แก่ Samsung Galaxy S2 และ S3 ตลอดจน Galaxy Note, Note 2 และ Note 10.1 รวมถึง Galaxy Tab 2 มีความเสี่ยงต่อการโดนโจมตีด้วยการเจาะเข้าไปในหน่วยความจำผ่านทางข้อผิดพลาดดังกล่าวทุกรุ่น ยกเว้น Google Nexus 10 ที่ใช้ Exynos 5250 ทั้งนี้ชุมชนนักพัฒนาได้ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ชั่วคราวออกมาแล้ว อย่างไรก็ตาม คงต้องรอคำตอบจาก Samsung ต่อรายงานดังกล่าว เพราะทางบริษัทยังคงไม่ได้แสดงความเห็นต่อกรณีที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด อย่างไรก็ดี หากมีรายงานข่าวเพิ่มเติมจากทาง Samsung ทางเว็บไซต์ arip จะนำเสนอข่าวอัพเดทเกี่ยวกับประเด็นนี้ให้คุณผู้อ่านทุกท่านได้ทราบทันที (ย้อนกลับไปในเดือนกันยายน มีการพบช่องโหว่บนมือถือ Galaxy S3 และ S2 ที่ทำให้สามารถสังรีเซทเครื่องจากอินเทอร์เน็ตได้ โดยใช้คำสั่งบรรทัดเดียวบนหน้าเว็บในการสั่งลบข้อมูลทั้งหมดในเครื่อง!!!)

 

ข่าวไอที ทิป-เทคนิค คอมพิวเตอร์

PostHeaderIcon ฝนดาวตก

ประมวลภาพปรากฏการณ์ฝนดาวตกเจมินิดส์
(Geminids Meteor Shower)

ในวันที่ 13-14 ธันวาคม พ.ศ. 2555 ณ บริเวณยอดดอนอินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่

 


 
 
 
 
 
 
 
 

PostHeaderIcon อันตราย มอมยาสาวด้วยโดมิคุม

PostHeaderIcon กรมศิลป์ขุดวังหน้าพบกำแพงโบราณอายุ 230 ปี

 
 

 กรมศิลปากร ทำการขุดพระราชวังหน้าครั้งแรกในประวัติศาสตร์ พบแนวกำแพงโบราณ-โบราณวัตถุอายุ150- 230 ปี ต้นรัตนโกสินทร์ เร่งเก็บข้อมูลเปรียบเทียบหลักฐานเดิม

นายสหวัฒน์ แน่นหนา อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า ได้รับบรายงานความคืบหน้าโครงการอนุรักษ์และพัฒนาพระราชวังบวรสถานมงคล บริเวณพิพิธภถัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร โรงละครแห่งชาติ โรงละครหอศิลป์ วังหน้า และสถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ (สบศ.) ให้มีความเหมาะสมกับความสำคัญของการเป็นพระราชวังในอดีต ซึ่งได้มีการรวบรวมและเก็บกู้หลักฐานทางโบราณคดี ข้อมูลทางประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม รวมถึงความเปลี่ยนแปลงในการใช้พื้นที่บริเวณวังหน้า ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบันอย่างละเอียดใหม่อีกครั้ง เนื่องจากพื้นที่วังหน้า คือพระราชวังที่ประทับของพระมหาอุปราช หรือมีชื่อเรียกทางการว่า พระราชวังบวรสถานมงคล ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งหนึ่ง

นายสหวัฒน์กล่าวต่อว่า จากการขุดค้นในระยะที่ 1 พื้นที่ด้านทิศใต้หมู่พระวิมาน ในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร พบแนวอิฐส่วนฐานรากอาคารก่ออิฐถือปูน อยู่ด้านหน้าพระที่นั่งทิกษิณาภิมุข สันนิษฐานว่าเป็นอาคารยุคแรกๆ ของวังหน้า และพบเป็นแนวกำแพงล้อมพระที่นั่งอิศราวินิจฉัยด้านทิศใต้ ซึ่งเป็นท้องพระโรงที่ว่าราชการในสมเด็จพระบวรราชเจ้า สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ ในรัชกาลที่ 3 รวมถึงพบร่องรอบธรณีประตูจากแผ่นหินดาดปูด้านข้าง ที่สำคัญยังพบโบราณวัตถุในดินจำนวนหนึ่งเป็นวัตถุประเภทเศษภาชนะ เครื่องใช้ในครัวเรือนเครื่องประกอบสถาปัตยกรรม อาวุธปืน และเครื่องประกอบเครื่องแต่งกายทหาร

อธิบดีกรมศิลปากรกล่าวว่า คาดว่าน่าจะอยู่ในรัชสมัยรัชกาลที่ 1-5 มีอายุตั้งแต่ 150-230 ปี เนื่องจากสถานที่ดังกล่าวเคยเป็นพระราชวังมาก่อน แต่ละสมัยได้มีการรื้อถอนและปรับโครงสร้างของพระราชวังจึงทำให้โบราณวัตถุถูกฝังไว้ในดิน อย่างไรก็ตามการขุดค้นทางโบราณคดีในพื้นที่ดังกล่าวถือว่าเป็นครั้งแรก เพราะที่ผ่านมามีการขุดพบเฉพาะพื้นที่บริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และสนามหลวงเท่านั้น

www.teenee.com/