Archive for January, 2012
ไขมันเปลี่ยนเป็นกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อกลายเป็นไขมัน!?
1 ในความเชื่อผิดๆ ของคนที่พึ่งเริ่มออกกำลังกาย คือ ไขมันของเราสามารถเปลี่ยนเป็นกล้ามเนื้อได้ ถ้าเราออกกำลังกาย เข้าฟิตเนส หรือยิม และคนที่มีกล้ามใหญ่ๆ หากทิ้งไว้ไม่ออกกำลังกายเลย กล้ามจะกลายเป็นไขมัน แล้วจะเปลี่ยนเป็นคนอ้วน แทน
ในความเป็นจริงแล้ว ไขมันไม่มีทางที่จะเปลี่ยนเป็นกล้ามเนื้อได้ แต่อาจจะเพราะความเชื่อที่ว่าให้กินเยอะๆ ตอนที่จะสร้างกล้าม ตัวจะได้ใหญ่ๆ แล้วมันจะกลายเป็นกล้ามตอนเรายกเวท หรือเข้ายิม ในความเป็นจริงแล้วกล้ามเนื้อนั้นถ้ามันจะใหญ่ขึ้นได้ มันเกิดจากเราใช้งานมันหนัก เกินกว่าการทำงานในปกติของมัน จนเกิดการฉีกขาดของกล้ามเนื้อบางส่วน ซึ่งก็คือเกิดจากการเข้าฟิตเนสเข้ายิมนั่นเอง จากนั้นร่างกายก็จะพัฒนาและซ่อมแซมกล้ามเนื้อที่เสียหายนั้น เพื่อให้สามารถทนต่อการใช้งานที่หนักขึ้นได้ และสิ่งที่ทำให้เกิดการพัฒนาและซ่อมแซมนั้นก็คือโปรตีน และสารอาหาร บวกกับการพักผ่อนที่เพียงพอ ไม่ได้เกิดจากการดึงไขมันมาเปลี่ยนเป็นกล้ามอย่างที่เข้าใจผิดกัน
ในทางกลับกัน กล้ามเนื้อก็ไม่สามารถกลายเป็นไขมันได้ด้วยเหตุผลเดียวกัน เพราะไขมันคือพลังงานเหลือใช้ที่ร่างกายเราเก็บสะสม ไว้หากเรากินอาหารโดยเฉพาะจำพวกแป้งและไขมัน มากเกินกว่าที่ร่างกายเราจะดึงไปใช้เป็นพลังงานมันจะถูกเก็บสะสมไว้ในรูปของไขมันยิ่งไม่ใช้ มันยิ่งจะเพิ่มขึ้น ต่างจากกล้ามเนื้อที่หากเรายิ่งไม่ได้ใช้มัน ร่างกายเราจะคิดว่ากล้ามเนื้อส่วนที่ไม่ได้ใช้งาน เป็นส่วนที่กินพลังงานเกินความจำเป็น เพราะยิ่งมีกล้ามเนื้อมาก มันก็จะยิ่งใช้พลังงานมากในการทำงาน ดังนั้นหากคนที่มีกล้ามหรือเล่นกล้าม หยุดหรือลดการใช้กล้ามเนื้อของเค้า ร่างกายก็จะเริ่มปรับสภาพ ลดกล้ามเนื้อที่กินพลังงานเกินความจำเป็นลง แต่ในทางกลับกัน ถ้าหากเรายังกินเท่ากับตอนที่เรายังพยายามสร้างกล้ามเนื้ออยู่ สารอาหารหรือพลังงานที่เกินมาพวกนั้นก็จะสะสมอยู่ในรูปไขมันแทน ทำให้ดูเหมือนว่ากล้ามเนื้อเรานิ่มลงจนกลายเป็นไขมันนั่นเอง
http://www.gmlive.com
พิษไข่แมงดา
น.พ.เด่นชัย ศรกิจ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดชลบุรี ได้ออกโรงกล่าวเตือนนักท่องเที่ยว ว่าให้พยายามหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหาร ประเภทไข่แมงดาทะเลในช่วงเดือน ก.พ.-มิ.ย. เนื่องจากช่วงระยะเวลาดังกล่าวไข่แมงดามีพิษรุนแรงนั่นเอง
ซึ่งเมื่อวันที่ 25 ม.ค. ที่ผ่านมาได้พบผู้ป่วยจากพิษไข่แมงดาเป็นรายแรก และได้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจังหวัดชลบุรีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สำหรับอาการทั่วไปหากได้รับพิษไข่แมงดานั้น ปกติจะเกิดขึ้นประมาณ 10-45 นาที ถึง 3 ชั่วโมง หลังรับประทานเข้าไป โดยจะมีอาการมึนงง รู้สึกชาบริเวณลิ้น ปาก ปลายมือ ปลายเท้า และมีกล้ามเนื้ออ่อน รวมทั้งอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย ในรายที่มีอาการรุนแรงมาก อาจเสียชีวิตภายใน 6-24 ชั่วโมง
ความมืดมีประโยชน์ ต้านมะเร็ง-ลดน้ำหนัก
ความมืดเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับโรคมะเร็ง และช่วยลดน้ำหนักตัวได้ด้วย นักวิทยาศาสตร์บอกว่า การได้รับแสงสว่างมากเกินไปในเวลากลางคืน มีความเชื่อมโยงกับมะเร็งเต้านม ซึ่งจากรายงานวิจัยของสถาบันมะเร็งแห่งชาติของสหรัฐระบุว่า การได้รับแสงสว่างจากไฟฟ้ามากไปในเวลากลางคืนก็สามารถลดภูมิต้านทานของคนเราต่อโรคนี้ด้วย
แสงสว่างในตอนกลางคืนจะรบกวนการผลิต “ฮอร์โมนความมืด” นั่นคือ เมลาโทนิน ซึ่งเป็นสารตามธรรมชาติชนิดหนึ่งที่ช่วยต้านมะเร็ง ผลิตจากต่อมไพเนียล หรือต่อมใต้สมอง เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งบางชนิดได้ โดยเฉพาะเมื่อทำงานร่วมกับยาต้านมะเร็งบางชนิด นอกจากนี้ เมลาโทนินยังช่วยกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง ซึ่งคอยโจมตีเนื้องอกด้วย
ความมืดไม่เพียงแต่จะส่งผลต่อมะเร็งเต้านมเท่านั้น นักวิจัยของมหาวิทยาลัยไฮฟาในอิสราเอล ยังพบว่า ในประเทศที่ติดไฟส่องสว่างตามท้องถนนอย่างมากมาย จะมีคนเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากในอัตราสูง ซึ่งแสงสว่างจากไฟฟ้าไม่เพียงยับยั้งการผลิตเมลาโทนิน หากยังบั่นทอนระบบภูมิคุ้มกัน และรบกวนนาฬิกาชีวภาพในร่างกายด้วย ทั้งหมดนี้จะลดการต่อต้านมะเร็งต่อมลูกหมากตามธรรมชาติ
“นี่ไม่ได้หมายความว่าเราต้องย้อนเวลากลับไปในยุคกลาง ปิดไฟให้มืดหมด” ศาสตราจารย์อับราฮัม อาอิม บอก “แต่เราต้องคำนึงถึงเรื่องนี้เมื่อกำหนดนโยบายพลังงาน”
เขาพบว่า ผู้ชายในกลุ่มประเทศที่ได้รับไฟส่องสว่างตอนกลางคืนสูงที่สุด จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 80% ต่อโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก เมื่อเทียบกับผู้ชายในกลุ่มที่ได้รับแสงสว่างตอนกลางคืนน้อยที่สุด
นอกจากนั้นแล้ว ความมืดยังส่งผลดีดังนี้
ช่วยให้อารมณ์ดี
แสงสีฟ้าจากจอโทรทัศน์ได้ยับยั้งฮอร์โมนเมลาโทนินซึ่งช่วยให้อารมณ์ดี ดังนั้นการดูทีวีจนดึกดื่นจึงทำให้อารมณ์ไม่แจ่มใส “อัตราการเป็นโรคซึมเศร้าที่เพิ่มขึ้น มีความสัมพันธ์กับการใช้แสงสว่างเพิ่มขึ้นในเวลากลางคืนของสังคมสมัยใหม่” ศาสตราจารย์แรนดีบอก
ช่วยให้นอนหลับ
ผลวิจัยแสดงให้เห็นว่า คนงานระบบกะที่ได้นอนหลับในห้องที่มีการดับไฟหรือม่านบังแสง จะนอนหลับได้ดีกว่าคนที่นอนในห้องที่สว่าง
การใส่ผ้าปิดตาในตอนกลางคืนจะช่วยให้คนที่นอนไม่ค่อยหลับสามารถหลับได้ดีขึ้น ในช่วงพักผ่อนตอนกลางคืนนั้น สมองจะเปลี่ยนสิ่งที่ได้ประสบพบเห็นเป็นความทรงจำ และพัฒนาขีดความสามารถในการเรียนรู้ ขณะที่ร่างกายจะผลิตเซลล์ใหม่ขึ้นทดแทนเซลล์เก่า และเติมพลังแก่อวัยวะและกล้ามเนื้อช่วยลดน้ำหนัก
ช่วยลดน้ำหนัก
เมื่อถึงยามกลางคืน การดับไฟอยู่ในที่มืดจะช่วยลดการกินจุบกินจิบในตอนดึก คนที่ใช้ชีวิตในแสงสว่างมากๆ มักไม่สามารถลดน้ำหนักตัวได้
การกินในยามค่ำคืนยังรบกวนการทำงานของฮอร์โมนต่าง ๆ เช่น เลปติน, คอร์ติโซล, และอินซูลิน ที่ควบคุมความอยากอาหารและระดับน้ำตาลในเลือด ถ้าฮอร์โมนเหล่านี้ถูกรบกวนเพราะเราไม่ยอมนอนเมื่อถึงเวลากลางคืน เมื่อเวลาผ่านไปการเผาผลาญอาหารจะช้าลง ความอยากอาหารจะเพิ่มขึ้น สถิติบ่งชี้ว่า ผู้หญิงที่กินตอนกลางคืน จะกินอาหารประเภทน้ำตาลและไขมันมากกว่าผู้หญิงที่นอนหลับตามความจำเป็นถึง 33% เลยทีเดียว
ตั้งนาฬิกาชีวภาพใหม่
ความมืดเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาความเที่ยงตรงของนาฬิกาในตัวเรา แต่ขณะที่บรรพบุรุษของเราเข้านอนเมื่อมืดลง และนอนเร็วขึ้นในฤดูหนาวนั้น พวกเรากลับตื่นอยู่จนดึกดื่นค่อนคืน บางคนยังคงช็อปปิ้ง ทำงาน ใช้คอมพิวเตอร์ ดูทีวี หรือนอนหลับก็ยังเปิดไฟ การรบกวนวงจรเวลาของร่างกายเช่นนี้ ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพหลายอย่าง
ที่มา : http://www.vchakarn.com
ข้อเท็จจริงเรื่องฝากระป๋องกับขาเทียม
คำชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องหูกระป๋อง
“จากการที่มีผู้สอบถามและนำหูกระป๋องและฝาเครื่องดื่มบำรุงร่างกายมามอบให้แก่ชมรมนักพัฒนาอุตสาหกรรมไทย เพื่อทำชิ้นส่วนของขาเทียมจำนวนมาก ทางชมรมฯ ขอขอบคุณและชื่นชมในความเอื้ออาทรของทุกท่านเป็นอย่างยิ่งและใคร่ขอชี้แจงข้อเท็จจริงในการนำเศษวัสดุเหลือใช้มาผลิตขาเทียมให้ทุกท่านได้ทราบดังต่อไปนี้”
1. หูกระป๋องหรือฝาเครื่องดื่มเป็นโลหะประเภทอลูมิเนียม ดังนั้นอลูมิเนียมทุกชนิด เช่น กระทะ ขัน กะละมัง ที่เป็นอลูมิเนียมสามารถนำมาใช้ได้ทั้งหมด
2. การรณรงค์นำของเหลือใช้มาทำประโยชน์เป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ควรบริโภคเพื่อหวังจะนำหูกระป๋องมาเพื่อทำขาเทียมช่วยเหลือผู้พิการ เพราะหูกระป๋อง 4,200 อัน มีน้ำหนัก 1 กิโลกรัม มีมูลค่าเป็นเศษอลูมิเนียมเพียง 50 บาท จะหลอมได้ชิ้นส่วนเพียง 5 ชิ้น ในขณะที่เราต้องเสียเงินซื้อเครื่องดื่มอย่างน้อยถึง 42,000 บาท
3. เหตุใดถึงเลือกเฉพาะหูกระป๋องหรือหูเครื่องดื่มบำรุงกำลัง ถ้าต้องการอลูมิเนียมเพื่อทำขาเทียมจริง ๆ ก็ควรจะรับบริจาค หม้อ ขัน กระทะ เครื่องต่าง ๆ ที่มีส่วนของอลูมิเนียม จะได้ประมาณมากมาย (ถ้าท่านมีศรัทธาอยากจะช่วยเหลือผู้พิการส่งเงินบริจาคไปยังที่อยู่ของหน่วยงานที่ขอบริจาคจะดีกว่าที่จะรวบรวมหูกระป๋อง เพราะนอกจากไม่คุ้มค่าแล้วยังเสียความรู้สึกที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือให้แก่นักฉวยโอกาสหาผลประโยชน์ให้แก่ตน)
4. เศษอลูมิเนียมทุกชนิดต้องนำมาหลอมที่อุณหภูมิ 800 C เพื่อจะแปรรูปเป็นอลูมิเนียมแท่งต้องเสียค่าใช้จ่ายในการหลอมอลูมิเนียมแท่งและค่าจัดส่งมากกว่าค่าวัตถุดิบ ถ้าหน่วยงานใดที่ต้องการชิ้นส่วนขาเทียม ทางชมรมฯ ยินดีจะผลิตให้พอกับความต้องการและไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น
5. ความสามารถในการประกอบขาเทียมจากเศษอลูมิเนียม 100 กิโลกรัม เมื่อนำมาทำชิ้นส่วนของขาเทียมจะได้ชิ้นส่วนถึง 500 อัน ผู้ประกอบขาเทียมต้องใช้เวลาประกอบหลายปี ดังนั้นการรณรงค์เพื่อเก็บหูกระป๋องกันอย่างแพร่หลายทั่วประเทศจึงเป็นเรื่องการสร้างภาพของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น และควรจะให้ประชาชนได้รู้ความจริง
6. การดื่มน้ำกระป๋อง เป็นการสิ้นเปลือง เพราะแผ่นโลหะที่นำมาทำกระป๋องต้องนำเข้า และต้องจ่ายค่ากระป๋องเพิ่มจากน้ำขวดปรกติถึง 3 บาท
7. การสร้างศรัทธาและจิตสำนึกเพื่อช่วยเหลือคนพิการเป็นสิ่งที่ดี แต่การโฆษณาเพื่อส่งเสริมการขายและนำสถาบันเบื้องสูงมาอ้างเช่นนี้ทำให้ผู้ที่มีจิตศรัทธาเข้าใจผิดเป็นจำนวนมาก เรื่องอย่างนี้…ผู้คุ้มครองผู้บริโภคน่าจะดูแลให้ทั่วถึง
ที่มา : ชมรมนักพัฒนาอุตสาหกรรมไทย
การปิดทองฝังลูกนิมิตร
ความรัก สุขภาพ » ไลฟ์สไตล์ » การปิดทองฝังลูกนิมิตร
ธรรมเนียมแห่งการกำหนดเขตพัทธสีมาอุโบสถจะต้องหมายเขตด้วยวัตถุบางอย่าง เรียกว่านิมิตๆ แปลว่าเครื่องหมาย วัตถุที่ใช้เป็นนิมิตนั้น ระบุไว้ในบาลี ๘ ชนิด ภูเขา ๑ ศิลา ๑ ป่าไม้ ๑ต้นไม้ ๑ จอมปลวก ๑ หนทาง ๑ แม่น้ำ ๑ น้ำ ๑ ส่วนมากคณาจารย์ใช้ศิลาเป็นลูกนิมิต การปิดทอง
ลูกนิมิตด้วยจิตใจศรัทธาปสาทเลื่อมใส ย่อมบังเกิดอานิสงส์มาก เพราะลูกนิมิตเป็นสัญญา
ลักษณ์แทนองค์พระบรมศาสดากับพุทธสาวก ถึงแม้พระองค์ดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว แต่รอย
พิมพ์พระคุณทั้งหลายของพระองค์ยังคงดำรงสถิตย์เสถียรปกป้องอวยสันติสุขแก่ผู้ที่ประพฤติ
ปฎิบัติตามพุทธศาสนิกมานมัสการปิดทองลูกนิมิตก็เสมือนปิดทองพระพุทธรูป ย่อมสำแดงออก
ซึ่งความนอบน้อมเคารพอย่างสูงยิ่ง ในพระองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลูกนิมิต ๙ ลูก เป็นเครื่อง
หมายกำหนดเขตที่จะสร้างพระอุโบสถ อันเป็นธงชัยแห่งพุทธศาสนา และเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
อำนวยให้สังฆกรรมอุโบสถกรรมปวารณาสำเร็จได้ตามพระวินัยพุทธบัญญัติ สืบอายุพระบวร
ศาสนาให้ดำรงยั่งยืนตลอดกาล อนุชนรุ่นหลังได้ตีความ
www.mthai.com
พบสิ่งมีชีวิต 46 สปีชีส์ ในประเทศซูรินาเม
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กลุ่มอนุรักษ์สากล (Conservation International) ได้ทำการสำรวจป่าเขตร้อน ในประเทศซูรินาเม (Suriname) ประเทศเล็กๆ ของอเมริกาใต้ และได้บันทึกข้อมูลสิ่งมีชีวิตกว่า 1,300 ชนิด ทั้ง ปลา, สัตว์เลื้อยคลาน, สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ, นก, สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก, สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ และแมลงต่างๆ
ทั้งนี้ทางทีมสำรวจคาดว่า จากสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่พบน่าจะมีสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่กว่า 46 สปีชีส์ ซึ่งทีมสำรวจกำลังทำงานเพื่อยืนยันสิ่งมีชีวิตแปลกๆ เหล่านี้ ว่าเป็นชนิดใหม่หรือไม่ เช่น
กบคาวบอย (cowboy frog) สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำขนาดเล็ก มีแถบขาวตลอดแนวยาวของขา และมีลักษณะเดือยตรงข้อต่อขา ค้นพบขณะสำรวจพื้นที่ชื้นแฉะในแม่น้ำ Kutari
ปลาดุกหุ้มเกราะ (Armored Catfish) ปลาดุกที่มีหน้าตาประหลาด มีหนามทั่วตัวคล้ายชุดเกราะ เพื่อป้องกันตัวเองจากปลาปิรันย่ายักษ์ ที่อาศัยอยู่ในแหล่งน้ำเดียวกัน
ตั๊กแตน เครโยลา (crayola katydid) เป็นตั๊กแตนที่มีสีสันสดใส
ด้วงมีเขา (Coprophanaeus lancifer) เป็นด้วงขนาดใหญ่ มีขนาดตัวเท่าผลส้มเขียวหวาน หนักกว่า 6 กรัม ทั้งตัวผู้และตัวเมียมีเขาใช้เป็นอาวุธในการต่อสู้
กบแพ็คแมน (Pac-Man) หากไม่สังเกตุดีๆอาจมองไม่เห็น โดยเจ้ากบแพ็คแมน เป็นกบนักล่าที่มีการพรางตัวรอให้เหยื่อผ่านมา ก่อนเขมือบเป็นอาหาร ซึ่งปากที่กว้างนี้ทำให้มันสามารถกินเหยื่อขนาดใหญ่ได้ ไม่ว่าจะเป็น นก หนู หรือแม้แต่กบด้วยกันเอง
‘Hiriko Citycar’ รถยนต์พับได้จากสเปน
|
|||
|
พบกับเกร็ดความรู้วิชาวิทยาศาสตร์ที่นี่
ยินดีต้อนรับทุกท่านสู่เว็บ เกร็ดความรู้วิทยาศาสตร์ ท่านจะได้รับรู้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ประจำวัน ที่นี่