Archive for September, 2013
เขื่อนแม่วงก์
วันนี้(23 ก.ย.) มีรายงานข่าวว่า นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหารจัดการน้ำและอุทกภัย (กบอ.) เผยว่า ในวันที่ 25 ก.ย.นี้จะมี คนในพื้นที่แม่วงก์จะออกมาแสดงการสนับสนุนการสร้างเขื่อนซึ่งตนเห็นว่าควรจะมีการพูดคุยกันเอง
ในส่วนที่มีคนบอกว่า เขื่อนแม่วงก์จะลดปัญหาน้ำท่วมได้เพียง 1 เปอร์เซ็นนั้น ก็ต้องสร้าง เพราะการสร้างเขื่อนประกอบด้วยเขื่อนเล็กและใหญ่ รวม 21เขื่อน เมื่อรวมพลังกันทั้งหมดแล้วจะเป็นพลังขนาดใหญ่ในการสู้กับน้ำท่วมได้ ซึ่งถือแม้ว่าการสร้างเขื่อนแม่วงก์จะเก็บกักน้ำได้เพียงร้อยละ 10 ของจำนวนเขื่อนทั้งหมด แต่จำเป็นต้องร่วมกันทำ
นายปลอดประสพ เผยต่ออีกว่า สำหรับการปลูกป่าทดแทนนั้นจะต้องปลูกที่แม่วงก์ เพราะอุทยานแม่วงก์มีพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมเยอะ เราก็ไปทำเป็นป่าสมบูรณ์ แล้วก็สร้างเท่าหนึ่งของปริมาณน้ำท่วม ป่ามันสร้างได้ แต่มันใช้เวลา เหมือนกับป่ายุโรปที่หลังสงครามโลกไม่เหลือเลย เขาก็สร้างขึ้นมาจนเต็มพื้นที่ เหมือนเมืองไทยมีโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติ แต่เมื่อถึงครั้งเสียสละเราก็ต้องเสียสละ และทำให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะมีความสามารถ ไม่ใช่ปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง
พบต้นข้าวยักษ์สูงถึง 3 เมตร ต.แม่สลองใน จ.เชียงราย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวรญาณ บุญณราช นายอำเภอแม่ฟ้าหลวง พร้อมด้วยนายปิยะเดช เชิงพิทักษ์กุล นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) แม่สลองใน จ.เชียงราย และชาวไทยภูเขาเผ่าอาข่า เข้าร่วมสำรวจที่บริเวณแปลงเกษตรบนยอดดอยสูง บ้านอาแหม ม.3 ต.แม่สลองใน หลังได้รับแจ้งมาว่ามีต้นข้าวยักษ์ มีความประหลาดขึ้นสูงกว่าต้นข้าวทั่วไป จึงเข้าไปตรวจพิสูจน์ ซึ่งต้องเดินเท้าฝ่าดงป่าเข้าไป จึงได้พบต้นข้าวอะเมซซิ่งดังกล่าว ที่มีขนาดความสูงร่วม 3 เมตร สูงกว่าคนทั่วไป ผุดขึ้นมาจากดินภูเขา
ทั้งนี้ นายปิยะเดช กล่าวว่า การที่มีต้นข้าวสูงต้นได้ถึง 3 เมตร บนภูเขาได้นั้น เชื่อว่าดินบริเวณนั้นจะต้องมีความอุดมสมบูรณ์ มีแร่ธาตุใต้ชั้นดินสูง ซึ่งถือเป็นเรื่องที่แปลก เพราะต้นข้าวทั่วไปจะสูงไม่มาก และพื้นที่ปลูกต้องมีเรื่องน้ำหล่อเลี้ยง แต่กรณีนี้อยู่บนภูเขาที่มีระดับความสูงจากน้ำทะเลมาก แต่ต้นข้าวสามารถยืนต้นได้สูงเพียงนี้ ซึ่ง อบต.จะเข้าส่งเสริมให้ชาวไทยภูเขาเร่งปลูกข้าว โดยยึดแนวทางพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้นำทฤษฎีเกษตรพอเพียงมาใช้ในพื้นที่ให้มากที่สุด เพื่อสร้างพันธุ์ข้าวแปลกใหม่เช่นนี้ให้เกิดขึ้นครอบคลุมบนดอย
แพทย์จีนเจ๋ง! ปลูกถ่ายจมูกใหม่ให้ผู้ป่วยสำเร็จ
สำนักข่าวต่างประเทศได้รายงานว่า วงการแพทย์จีนได้สร้างความฮือฮาด้วยการปลูกถ่ายจมูกให้กับชายคนหนึ่งหลังเขาประสบอุบัติเหตุจนส่งผลให้กระดูกอ่อนตรงจมูกของเขาเกิดอาการติดเชื้อ จนไม่สามารถรักษาให้หายเป็นปกติได้ ทางศัลยแพทย์ประจำโรงพยาบาลจี้ฮุยที่ทำการรักษาอาการ จึงทำการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อเพื่อนำมาแต่งเติมกับจมูกที่เสียหาย
โดยได้ผ่าตัดปลูกถ่ายเนื้อเยื่อที่บริเวณหน้าผาก ด้วยการสร้างพื้นที่ว่างผิวหนังบริเวณดังกล่าวขยายตัวก่อนจะจัดทรงให้มีลักษณะคล้ายจมูก จากนั้นจึงนำกระดูกจากซี่โครงของเขามาปลูกถ่ายเป็นจมูกอันใหม่ให้แก่เขา ซึ่งจมูกที่ปลูกถ่ายใหม่นี้มีลักษณะเช่นเดียวกับจมูกปกติ คือมีผิวหนัง เส้นเลือด กระดูกอ่อน ส่วนประกอบอื่นๆ และที่สำคัญสามารถใช้การได้เหมือนของจริง รับรู้ถึงกลิ่นต่างๆ เช่นเดียวกับคนทั่วไป
อย่างไรก็ดีการปลูกถ่ายดังกล่าวได้ดำเนินมากว่า 8เดือนแล้ว และคาดว่าอีกไม่นานการปลูกถ่ายจมูกกลับไปยังตำแหน่งเดิมจะเกิดขึ้นเร็ววันนี้ โดยที่แผลปลูกถ่ายบริเวณหน้าผากจะมีร่องรอยของแผลเป็นเล็กน้อยเท่านั้น สำหรับการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อจมูกเคยประสบผลสำเร็จมาแล้วที่อังกฤษ โดยคราวนั้นศัลยแพทย์ได้ทำการปลูกถ่ายจมูกให้แก่ผู้ป่วยที่บริเวณแขน
ผลสำรวจคนไทยเฉลี่ยสูงน้อย ชายแค่ 167 ซม. หญิง 157 ซม.
น.พ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า จากการสำรวจล่าสุด เด็กไทยเมื่อมีอายุ 18 ปี จะมีความสูงเฉลี่ยค่อนข้างเตี้ย โดยผู้ชายสูงเฉลี่ย 167.1 เซนติเมตร ผู้หญิงสูงเฉลี่ย 157.4 เซนติเมตร เป็นเพราะอัตราดื่มนมคนไทยต่ำกว่าประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และโลก 4-7 เท่า โดยคนไทยดื่มนมเฉลี่ยคนละประมาณ 14 ลิตรต่อปี ขณะที่อัตราการดื่มนมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เฉลี่ยคนละ 60 ลิตรต่อปี และทั่วโลกเฉลี่ยคนละ 103.9 ลิตรต่อปี
การเปิดเผยครั้งนี้ สืบเนื่องจากองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (เอฟเอโอ) กำหนดให้วันพุธสุดท้ายของเดือน ก.ย. ทุกปี เป็นวันดื่มนมโรงเรียนโลก ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 25 ก.ย.
ด้าน น.พ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย กล่าวเสริมว่า สธ. มีเป้าหมายให้เด็กไทยวัย 18 ปี เติบโตสมวัย มีหุ่นสูง โดยให้ผู้ชายสูงเฉลี่ย 175 ซม. ผู้หญิงสูงเฉลี่ย 162 ซม. และคนไทยอายุยืนเฉลี่ย 80 ปี ภายในอีก 10 ปีข้างหน้า หรือในปี 2566 โดยกรมอนามัย ได้ส่งเสริมให้ดื่มนมทุกเพศทุกวัย เริ่มตั้งแต่ ให้เด็กหลังคลอดกินนมแม่อย่างเดียวตลอด 6 เดือน ส่วนเด็กก่อนวัยเรียน ให้ดื่มนมชนิดธรรมดาวันละ 2-3 แก้ว วัยเรียนดื่มวันละ 2 แก้ว
โยเกิร์ต
เป็นอีกหนึ่งของกินเพื่อสุขภาพ แต่อย่าสักแต่ว่ากินไว้ไม่ให้ตกเทรนด์นะ รู้มั้ยว่าบางทีคุณอาจกินแบบผิดๆ แล้วไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยก็ได้
กินแล้วดียังไง? เหตุผลที่บรรดากูรูทั้งหลายแนะนำให้กินนมหมักอย่างโยเกิร์ตหรือ นมเปรี้ยวก็คือ “จุลินทรีย์ที่ยังมีชีวิต” ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับที่มีอยู่ในลำไส้มนุษย์อยู่แล้ว และไม่ว่าจะเป็นโยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยวจุลินทรีย์ที่มีอยู่ก็เป็นชนิดเดียวกัน ส่วนใหญ่จะเป็นพวกแล็ก-โตบาซิลัส พอจุลินทรีย์พวกนี้เข้ามาในร่างกายก็จะมาช่วยรักษาสมดุลในลำไส้ ทำให้ระบบย่อยอาหารและการขับถ่ายของคุณดีขึ้น ระดับคอเลสเตอรอลลดลง และในบางการศึกษาวิจัยยังบอกว่าสามารถช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ได้อีกด้วย
แต่ก็อย่าลืมเดินทางสายกลางกินแค่พอดีก็พอแล้ว โยเกิร์ตถ้วยหนึ่งมีพลังงานสูงถึง 80-150 กิโลแคลอรี เลยทีเดียว กินมากๆ ก็อ้วนได้เหมือนกันนะ ที่สำคัญโยเกิร์ตกับนมเปรี้ยวไม่ใช่อาหารลดความอ้วน ดังนั้น กินแทนข้าวไม่ได้นะจ๊ะ
www.teenee.com/
Appleต่างสี
|
วิธีดูว่าไข่เน่าหรือไม่
|
กินปลาเป็นประจำ ลดเสี่ยงจากมะเร็ง 2 ชนิด
|