Archive for February, 2013

PostHeaderIcon ทำอย่างไรเมื่อ ไขมันเกาะตับ

 
 

 

 

จากแนวโน้มการรับประทานอาหารของคนไทย ซึ่งมีการบริโภคแป้ง น้ำตาล และอาหารไขมันสูงเพิ่มขึ้น 

ก่อให้เกิดประชากรโรคอ้วน และน้ำหนักเกินมากขึ้นตาม อย่างที่เราพอจะทราบกันว่า โรคอ้วนก่อให้เกิดโรคอื่น ๆ ตามมา เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง ยังมีอีกโรคหนึ่งคือ ไขมันเกาะตับ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นภัยแฝง เนื่องจากไม่แสดงอาการ จะตรวจรู้ได้จากการอัลตราซาวนด์ตับและตรวจดูภาวะการอักเสบของตับจากผลเลือด

ไขมันเกาะตับ หมายถึง ภาวะที่มีไขมันสะสมอยู่ในเซลล์ตับ โดยอาจมีเพียงการสะสมของไขมันอย่างเดียว หรืออาจมีการทำให้เกิดการอักเสบของตับร่วมด้วย ซึ่งในรายที่มีการอักเสบของตับร่วมด้วยนั้น หากปล่อยไว้เป็นระยะเวลานานจะเกิดภาวะตับอักเสบเรื้อรัง และนำไปสู่ภาวะตับแข็งได้

นั่นหมายความว่า ถึงแม้คุณจะไม่ได้เป็นคนที่ดื่มแอลกอฮอล์ประจำ เป็นเพียงคนอ้วนคนหนึ่งที่มีไขมันเกาะตับ คุณก็อาจเป็นตับแข็งได้เช่นกัน

ไขมันเกาะตับเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ สาเหตุอันดับต้น ๆ คือ จากเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ซี การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และยาบางชนิด

สาเหตุสำคัญที่พบได้บ่อยขึ้นในคนไทยคือ เกิดจากการกินแป้ง ของหวานและอาหารไขมันสูง เหล่านี้ก่อให้เกิดไขมันไตรกลีเซอไรด์สูง น้ำตาลในเลือดสูง ซึ่งนำไปสู่ภาวะดื้อต่ออินซูลิน และหลาย ๆ รายกลายเป็นภาวะไขมันพอกตับ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของภาวะตับเสื่อม นาน ๆ ไปก็กลายเป็นตับแข็ง ถ้าใครที่มีไวรัสตับอักเสบบี ซี เป็นเชื้ออยู่ด้วย ก็อาจกลายเป็นมะเร็งตับได้ในที่สุด

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าตนเองมีไขมันเกาะตับหรือไม่ การตรวจวินิจฉัยที่ง่าย สะดวก คือการอัลตราซาวนด์ตับ และการตรวจเลือดดูการทำงานของตับ (SGOT, SGPT) และเมื่อตรวจแล้วพบว่าตนมีไขมันเกาะตับ ก็อย่าได้เสียใจไป ถือว่าโชคดีที่เราได้มีโอกาสรู้ตัว และได้ป้องกันตัวเอง ก่อนที่จะเกิดตับแข็งได้ในอนาคต

การดูแลตนเองเพื่อป้องกันและลดการเกิดไขมันเกาะตับ ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ออกกำลังกายเป็นประจำ 

งดการดื่มแอลกอฮอล์ งดอาหารหวาน อาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตสูง งดอาหารมัน ฟาสต์ฟู้ด งดเนื้อแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม หมูยอ รับประทานธัญพืชและผักใบเขียวให้มากขึ้น ควบคุมระดับน้ำตาล และไขมันในเส้นเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ 

และควรปรึกษาแพทย์ หากมีค่าเอ็นไซม์ตับ (SGOT, SGPT) สูงร่วมด้วย
 

prachachat.net
 

prachachat.net

PostHeaderIcon นอนเต็มอิ่ม แต่ทำไมยังง่วงล่ะ ?

 
 

 
ในยุคที่ต้องใช้กำลังกายและกำลังสมองทำงานอย่างหนักในระหว่างวัน จนเหนื่อยล้าอ่อนแรงไปตามๆ กันพอตกกลางคืนก็อยากจะรีบเข้านอนเพื่อจะได้พักผ่อนออมแรงไว้เผื่อวันรุ่งขึ้นจะได้ตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นแจ่มใส แต่ที่ไหนได้ ขณะที่นั่งทำงานอยู่ดีๆ แต่เอ๊ะ! ทำไมจึงหาวออกมาเสียงฟอดใหญ่ แล้วรู่สึกเพลียมาก เห้นอะไรต่อมิอะไรที่อยู่ตรงหน้ากลายเป็นหมอนใบนุ่มน่าหนุนไปเสียอย่างนั้น ทั้งๆ ที่เมื่อคืนก็รีบเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ เพราะอยากมีสุขภาพดีเหมือนคนอื่นๆ ดูบ้าง ตื่นเช้ามาก็ไม่ค่อยจะสดชื่น แถมรู้สึกง่วงมากกว่าเดิมเสียอีก มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถ้าอย่างนั้น เรามาหาคำตอบกันดีกว่าค่ะ
อย่าลืมนะคะว่าจิตใจที่แจ่สมใสอยู่ในร่างกายที่สมบูรณ์การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอนั้นมีความสำคัญต่อสุขภาพของเราเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากในขณะที่เรานอนหลับนั้น ระบบต่างๆ ของร่างกายก็จะพักตามไปด้วย การหายใจจะช้าลงอย่างสม่ำเสมอ มีการหลั่งฮอร์โมนช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ แต่ในทางกลับกันหากนอนไม่พอ ร่างกายก็จะอ่อนเพลีย ไม่มีแรง เกิดอาการเวียน ศรีษะ คิดไม่ออก เสี่ยงต่อโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง และโรคอ้วน จากการศึกษาพบว่า การนอนที่เพียงพอทำให้คุณรับประทานอาหารลดลง ลดความอยากรับประทานลงอีกด้วย แต่ในขณะเดียวกันการนอนหลับที่ไม่มีคุณภาพก็อาจจะทำให้รู้สึกเหมือนไม่ได้พักผ่อน และก็ทำให้อยากอาหารมากกว่าปกติ ซึ่งอาจเกิดจากหลากหลายสาเหตุ เช่น
 - มีเรื่องไม่สบายใจ เครียดกังวลจนทำให้สมองรู้สึกเครียดอยู่ตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัว
 - เกิดลมในช่องท้องมากเกินไป ทำให้การไหลเวียนเลือดต่ำ และรวมถึงมีอาการท้องผูก ทำให้รู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว
 - ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ (Sleep apnea) เป็นภาวะความผิดปกติอย่างหนึ่งของการหายใจที่เกิดขึ้นในระหว่างการนอนหลับมีอันตราย และทำให้เกิดความผิดปกดติอื่นจน ถึงเสียชีวิตได้ พบภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับได้บ่อยครั้งในคนอ้วน เพศชาย ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยที่มีโรคความดันเลือดสูงจะทำให้สะดุ้งตื่นขึ้นมาบ่อย ในระหว่างนอนหลับ รู้ตัวบ้าง ไม่รู้ตัวบ้าง เพื่อหายใจ ทำให้เรารู้สึกเหมือนไม่ได้นอน
 -  ภายในห้องอาจจะมีเสียงรบกวนอยู่ตลอดเวลาโดยที่เราไม่รู้ตัว เช่น เสียงหยดน้ำ เสียงเครื่องปั๊มน้ำ เสียงแอร์ที่ดังเกินไป เสียงพัดลม เสียงเข็มนาฬิกาเดิน เป็นต้น เสียงเหล่านี้อาจจะแทนกเข้าไปในความรู้สึกและคลื่นสมองของเราระหว่างนอนได้ ทำให้รบกวนการนอน และนอนไม่เต็มอิ่ม
มานอนหลับพักกายใจอย่างมีคุณภาพกันเถอะ
 - บุหรี่ สุรา ชา กาแฟ เครื่องดื่มคาเฟอีนต่างๆ งดและลืมไปได้เลย อย่างน้อยๆ ก็ 6 ชั่วโมงก่อนเข้านอน เนื่องจากเครื่องดื่มเหล่านี้กระตุ้นสมองและทำให้ปัสสาวะบ่อย จนรบกวนการนอนได้ แถมไม่ดีต่อสุขภาพอีกต่างหาก
 - เข้านอน และตื่นนอนให้ตรงเวลาทุกวันจนเคยชิน แรกๆ ก็อาจจะไม่คุ้นเคย แต่รับรองว่าเมื่อบ่อยครั้งเข้าจะชินไปเอง
 - จัดระเบียบการใช้ชีวิตให้ดีๆ สะสางปัญหาการงานที่คั่งค้าง และวิธีการแก้ไข เพื่อความสบายใจ และนอนหลับง่าย
 - ออกกำลังกายก่อนหน้าที่จะเข้านอนอย่างน้อย 2 – 3 ชั่วโมง จะช่วยให้นอนหลับสนิทมากขึ้น
 - จัดห้องนอนให้สะอาด น่านอนไม่มีแสงรบกวน หมั่นทำความสะอาดเครื่องนอนอยู่เสมอ เอาไปตากแดดจัดๆ ป้องกันไรฝุ่น หาหมองที่พอดีกับต้นคอ เพื่อช่วยให้นอนหลังสนิท ไม่ปวดต้นคอและหลังจะช่วยให้ผ่อนคลายมากขึ้น
 - สวดมนต์ หรือนั่งพักผ่อนสบายๆ สักพักก่อนนอน เพื่อให้สมองคลายกังวลจากเรื่องเครียดๆ อาจจะฟังเพลงเพราะๆ สูดอากาศที่บริสุทธ์ หรือดมน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบ
 - ดื่มน้ำอุ่น หรือนมอุ่นก่อนนอนจะช่วยในการนอนหลับ เพราะกรดอะมิโนทริปโตฟานทำให้ง่วงนอนได้ หลีกเลี่ยงการดูดหรือฟังเรื่องตื่นเต้น น่ากลัว เรพาะจะกระตุ้นให้เราไม่หลับ

www.teenee.com/

PostHeaderIcon รอยสักอิเล็กทรอนิกส์ จะเป็นการสนทนารูปแบบใหม่ของมนุษย์

 
 

 


ใครจะเชื่อล่ะว่าต่อไปข้างหน้ามนุษย์อาจบังคับทิศทางเครื่องบินเพียงแค่การนึกคิด รวมไปทั้งแค่คิดว่าจะพูดอะไร ก็ไม่ต้องอ้าปากพูด แต่ความคิดจะถูกส่งต่อออกมาผ่านจากคลื่นสมองสู่ไมโครโฟนด้านนอกฟังดูตลกและเหลือเชื่ออย่างหาเหตุผลไม่ได้ 

แต่งานวิจัยในต่างประเทศล่าสุด จากทีมงานของ “ท็อดด์ โคลแมน” นักวิจัยของมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียในซานดิเอโก้ สหรัฐอเมริกา พยายามจะทดลองและพิสูจน์ศักยภาพของ “คลื่นสมอง” มนุษย์ที่สามารถควบคุมเครื่องจักรกลได้ 

ใครเคยดูภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ หรือซีรีส์วิทยาศาสตร์หลายต่อหลายเรื่องจะมีเรื่องราวทำนองที่มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ทำให้ตัวเอกสามารถที่จะฝึกฝนใช้พลังสมองของตัวเองส่งคลื่นไปบังคับให้ไฟปิดหรือเปิดได้

แต่นั่นอาจจะดูเป็นนิยายไปสักนิดแต่การทดลองของท็อดด์โคลแมนและทีมงาน ได้ทำการ ฝังชิปอิเล็กทรอนิกส์ไว้ที่หน้าผากของผู้เข้ารับการทดลอง โดยเขาเรียกมันว่า “รอยสักอิเล็กทรอนิกส์” 

โดยโคลแมนให้สัมภาษณ์กับทีมงาน “เทคโนโลจีส” ว่าก่อนนี้ทางทีมงานได้ทดลองสร้างหมวกที่มีตัวควบคุมเซ็นเซอร์เชื่อมโยงกับคลื่นไฟฟ้าของผู้สวมใส่ ผลคือ ผู้สวมใส่หมวกดังกล่าวสามารถใช้ความคิดผ่านสมองส่งต่อมายังหมวกซึ่งมีการติดตั้งเซ็นเซอร์ควบคุมเครื่องบินบังคับขนาดเล็กให้บินไปได้ในห้องทดลองเมื่อเป็นเช่นนี้จึงนำมาสู่การทดลองอีกขั้นของทีมวิจัยคือ”การสักอิเล็กทรอนิกส์”เพื่อควบคุมการสื่อสารของมนุษย์

โดยทีมวิจัยทำการติดตั้งแผ่นชิปอิเล็กทรอนิกส์คล้ายการสัก(แทตทู)รวมทั้งติดตั้งอุปกรณ์ไว้บริเวณลำคอและทำไมโครโฟนขยายเสียงซึ่งเขามุ่งหวังให้ผู้คนสามารถติดต่อสื่อสารแบบไร้สายเงียบๆ ทางทีมผู้วิจัยต้องการแสดงให้เห็นว่าการติดตั้งเซ็นเซอร์สามารถรับสัญญาณไฟฟ้าจากกล้ามเนื้อสมองที่กำลังคิดประโยคสื่อสารจากนั้นกล้ามเนื้อนี้จะส่งผลเคลื่อนไหวมาถึงในลำคอเพื่อให้ผู้คนสื่อสารกันได้แม้เพียงแค่กำลังคิด

ส่วนจะพัฒนาไปได้ไกลแค่ไหน…ต้องติดตาม
 


ขอบคุณ : ประชาชาติธุรกิจ

PostHeaderIcon ความลับของมือถือ ที่เราไม่รู้ เพราะคนขายไม่บอก

 
 

 

 

ความลับของมือถือ ที่เราไม่รู้ เพราะคนขายไม่บอก

ใครที่ใช้โทรศัพท์มือถือตั้งใจอ่านดีๆ อ่านจบแล้วจะรู้ว่ามือถือไม่ได้มีไว้สำหรับ โทรเข้า-โทรออกเท่านั้น

แต่ยังมีเคล็ดลับที่เพื่อนๆยังไม่รู้ซ่อนไว้อยู่ ถ้าอยากรู้ว่ามีไรอะไรบ้างลองเข้ามาดูกัน

1. หมายเลขสากลฉุกเฉิน 112 ใช้ได้ทั่วโลก
 ถ้าเกิดเราหลงไปอยู่ในเขตที่ไม่มีสัญญาณเลย แต่มีเหตุด่วนเหตุร้ายให้กด 112 แล้วมันจะหาเบอร์ให้เองอัตโนมัติแม้แต่เราล็อคปุ่ม
ก็ยังกดเบอร์ นี้ได้ ทีนี้เราก็รอดตายแล้ว

2. ใช้ในกรณีที่ลืมกุญแจไว้ในรถ… สำหรับรถที่ใช้ Remote Key
ถ้ารถล็อคไปแล้ว แต่เรามีกุญแจสำรองอยู่ที่บ้าน ให้โทรไปหาคนที่อยู่ที่บ้านด้วยมือถือ (เราต้องโทรไปหาเบอร์มือถือของเขาด้วยนะ) เมื่อเขารับแล้วให้เราบอกเขาให้กดปุ่ม unlock บนกุญแจสำรองในขณะที่เราถือมือถือให้ห่างจากประตูรถประมาณ 1 ฟุต(คนที่อยู่บ้านที่เราวานให้กดต้องเอากุญแจไปจ่อใกล้กับมือถือของเขาในขณะที่กดปุ่ม) ประตูรถก็จะเปิดออกเหมือนเรากดปุ่มรีโมทด้วยตัวเอง ระยะทางไม่มีปัญหาแม้รถกับบ้านจะอยู่ห่างกันเป็นร้อยๆ กม. ก็ตาม
3. ถ้าโทรศัพท์หายต้องการทำให้ใช้ไม่ได้ตลอดไป 
ในกรณีนี้เราต้องใช้หมายเลข serial number ประจำเครื่อง ซึ่งมี 15-17 หน่วย การที่จะทราบหมายเลขนี้กด *#06# แล้วหมายเลขประจำเครื่องก็จะขึ้นมาให้เห็นทันทีเหมือนเล่นกล จดไวแล้วเก็บไว้ให้ดี….ที่นี้ถ้ามือถือหายหรือตกหล่น ให้โทรไปที่ศูนย์แล้วแจ้งหมายเลขให้เขาไป เขาก็จะบล็อคเครื่องของเราให้แล้วทีนี้มือถือที่หายไปจะใช้ไม่ได้อีกเลย ถึงแม้ว่าคนขโมยไปจะเปลี่ยน sim card มันก็จะยังใช้ไม่ได้อยู่ดี แบบนี้สะใจดีค่ะโดยเฉพาะพวกที่ชอบโขมยมือถือ


ที่มา : saint-online.com
via : A Chance Learning #FB

PostHeaderIcon ตำรวจเตือนภัย ‘ยาเสียตัว’

 
 

พฤติกรรมการใช้ “ยาเสียตัว” มอมเหยื่อเพื่อประสงค์ร้ายของอาชญากร ยังคงใช้ได้ผลอยู่ทุกยุคสมัย และใช่เพียงหญิงสาวเท่านั้นที่เป็นกลุ่มเสี่ยง ปัจจุบันผู้ชายเองก็มีโอกาสตกเป็นเหยื่อยาอันตรายตัวนี้ด้วยเช่นกัน

 ตามคำสารภาพของ 3 ผู้ต้องหาแก๊งชายรักชาย ที่นำยาเสียตัวมาจำหน่ายผ่านทางโซเชียลมีเดียอย่างเฟซบุ๊กของตัวเอง หนำซ้ำยังมียาไอซ์จำหน่ายอย่างไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายอีกด้วย แต่ก็ไม่รอดเพราะถูกตำรวจจากกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 5 รวบตัวจับกุมได้ที่ จ.เชียงใหม่ ก่อนจะรับสิ้นว่า เคยใช้ยาเสียตัวที่ชื่อว่า ยาจีเอชบีหรือยาที่ใช้ทางการแพทย์ชื่อว่า Gamma Hydroxybutyrate ผสมในเครื่องดื่ม

3 ผู้ต้องหาที่ขายยาอันตราย จีเอชบี” บอกว่า ยาเพียงแค่ 1 หลอดเล็ก ก็ทำให้ผู้ที่โดนวางยาถึงขั้นหมดเรี่ยวแรง ไม่ได้สติ แล้วคนร้ายก็จะพาตัวเหยื่อไปละเมิดทางเพศ แต่สำหรับผู้ต้องหากลุ่มนี้แล้ว ส่วนมากจะเน้นเหยื่อผู้ชาย

ข้อมูลจากแพทย์ของโรงพยาบาลตำรวจนายหนึ่ง เล่าให้ฟังถึงยาชนิดดังกล่าวว่า ยาจีเอชบีถือเป็นสารเสพติดที่เป็นยาอันตราย แต่อนุญาตให้ใช้ทางการแพทย์ได้ เพื่อให้ผู้ป่วยผ่าตัดสลบเท่านั้น แต่ปัจจุบันมีการนำยาชนิดนี้ไปใช้ผิดประเภทในกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย และทราบมาว่าขณะนี้มีการแพร่หลายของยาชนิดดังกล่าวอย่างเงียบๆ

ทั้งนี้ ผลของการใช้ยาจะทำให้ผู้เสพรู้สึกเคลิบเคลิ้ม สบาย รู้สึกอบอุ่น และพึงพอใจกับการที่ถูกสัมผัสร่างกาย

แต่หากใช้ในปริมาณที่มากเกินไปจะทำให้หมดสติ และอาจจะถึงขั้นเสียชีวิตได้อีกด้วย ซึ่งส่วนใหญ่คนร้ายมักจะนำไปใช้เพื่อทำให้เหยื่อไม่รู้สึกตัวในระยะเวลาแค่ 15 นาที หลังจากได้รับยา และจากนั้นจะหมดสติไปในเวลาไม่เกิน 30 นาที โดยจะหมดสติเป็นเวลานานถึง 34 ชั่วโมง ซึ่งทำให้ช่วงเวลาดังกล่าวคนร้ายก่อเหตุได้

“ยาจีเอชบีลักษณะจะเป็นผงสีขาวคล้ายโคเคน วิธีการใช้ก็จะนำไปผสมกับเหล้าหรือเครื่องดื่มชนิดอื่นๆ หากคนร้ายใช้เพียงปริมาณแค่นิดเดียวเพียง 4 กรัม ก็อาจจะทำให้เหยื่อหมดสติ และไม่สามารถขัดขืนร่างกายได้ ทำให้เป็นช่องว่างของการก่อเหตุข่มขืนตามมา” นายแพทย์คนเดิม เล่า

ขณะที่การป้องกันตัวเองเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของคนร้ายที่ใช้ยาชนิดดังกล่าวเพื่อเล็งผลก่อเหตุพ.ต.ท.พญ.อัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล จิตแพทย์ของโรงพยาบาลตำรวจ ในฐานะรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.แนะนำว่า ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือกลุ่มสุภาพสตรี ก่อนจะไปนั่งกินดื่มตามร้านอาหารหรือผับบาร์สถานที่ต่างๆ ก็ตาม ควรจะมีเพื่อนที่สนิทและเชื่อใจไว้ใจได้เดินทางไปด้วย เพื่อคอยช่วยเหลือในกรณีที่อาจจะเกิดปัญหา

รองโฆษก สตช. บอกว่า สิ่งสำคัญคือ ต้องระมัดระวัง แก้วน้ำหรือแก้วเหล้า ห้ามดื่มจากแก้วที่ผู้อื่นหยิบยื่นให้เด็ดขาด เพราะความปลอดภัยในแก้วนั้นอาจจะไม่มีเลย และสุ่มเสี่ยงอันตราย อาจจะถูกผู้ไม่หวังดีแอบใส่ยาเพื่อประสงค์ร้ายได้ แก้วเครื่องดื่มควรจะต้องอยู่กับตัวตลอดเวลา ที่สำคัญอย่าไว้ใจคนแปลกหน้าที่เข้ามาตีสนิทอย่างเด็ดขาด

“เพื่อนที่ไปเที่ยวด้วยกันจะมีส่วนช่วยอย่างมาก คือ มาด้วยกันก็อยากให้กลับด้วยกัน เพื่อความปลอดภัย นอกจากนี้หากรู้สึกว่าตัวเองมึนเมา และสงสัยว่าอาจจะถูกมอมยา ให้รีบบอกเพื่อนที่ไปด้วยกันทันที เพื่อให้ช่วยเหลือประคองตัวเองกลับบ้านพัก หรือให้ออกจากพื้นที่นั้นให้เร็วที่สุด” พ.ต.ท.พญ.อัญชุลี ย้ำวิธีป้องกันตัว

หรือหากเป็นไปได้ การไม่ออกไปเที่ยวไหน และการระมัดระวังตัวเองอย่างดีที่สุด ก็จะเป็นทางออกเพื่อป้องกันตัวเองไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของเหล่าอาชญากรที่มีอยู่มากมายในสังคม และจ้องจะหาทาง “วางยา” เหยื่อเพื่อประสงค์ร้าย

ไม่ว่าเพศใดวัยใดก็อยู่ในความเสี่ยงตกเป็นเหนือมิจฉาชีพที่ใช้ยาอันตรายตัวนี้เป็นเครื่องมือได้ทั้งนั้น

posttoday

PostHeaderIcon ปัญหากลิ่นตัว

 
 

 ถ้าสาวๆ มีกลิ่นตัวคงดูไม่ดีแน่..มาดูหลากวิธีหยุดกลิ่นไม่พึงประสงค์

ปัญหา “กลิ่นตัว” เกิดจากการที่เรามีเหงื่อออกมาก โดยร่างกายเราจะมี 2 ส่วนที่เหงื่อออกมาก นั่นคือ บริเวณฝ่ามือ-ฝ่าเท้า ซึ่งลักษณะเหงื่อเป็นน้ำใสๆ มีกลิ่นเล็กน้อย และบริเวณข้อพับ รักแร้ หรือขาหนีบ ซึ่งเป็นเหงื่อที่มีกลิ่นเหม็นกว่า มีความหนืดกว่า ซึ่งกลิ่นเหม็นนั้นเป็นเพราะความอับชื้นและมีการหมักหมมร่วมกับแบคทีเรีย

เหงื่อที่ออกมากผิดปกติจนเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์จำแนกได้เป็น 3 ประเภท

1. เกิดจากพันธุกรรม
2. เกิดจากโรคบางอย่าง เช่น ไทรอยด์ วัณโรค คอหอยพอก โรคหัวใจ โรคทางสมอง หรือแม้กระทั่งอยู่ในวัยใกล้หมดประจำเดือน และ
3. ไม่สามารถหาสาเหตุได้ นอกจากนี้สิ่งแวดล้อมอย่างสภาพอากาศร้อนก็เป็นตัวเร่งให้เหงื่อออกมาก โดยจะไปกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทที่ควบคุมการทำงานของต่อมเหงื่อ

หลากวิธีหยุดกลิ่นไม่พึงประสงค์

1. เริ่มจากการดูแลรักษาความสะอาดและอาบน้ำ ซึ่งอาจใช้สบู่ฟอกตามบริเวณที่มีการหมักหมมของเหงื่อเพื่อลดแบคทีเรียที่ก่อ ให้เกิดกลิ่นได้

2. การใช้น้ำยาดับกลิ่นแบบดีโอดูแรนท์ (deodorant) ซึ่งช่วยลดกลิ่นแต่ไม่ช่วยลดเหงื่อ ซึ่งการใช้ยาทาประเภทนี้ต้องระวังเพราะในบางคนอาจเกิดอาการแพ้และทำให้เกิด ผื่นดำได้ อย่างไรก็ดีไม่แนะนำการใช้โรลออนที่เราส่วนใหญ่คุ้นเคย เนื่องจากอาจเกิดอาการแพ้แล้วทำให้เกิดอาการดำได้ หากปัญหากลิ่นตัวที่มีสาเหตุจากเหงื่อออกมากก็ควรหาวิธีรักษาเพื่อระงับ เหงื่อดีกว่า

3. การใช้ยาระงับเหงื่อหรือแอนตีเพอร์สไปแรนท์ (antiperspirant) ซึ่งจะทำปฏิกิริยาให้เกิดการอุดตันในท่อเหงื่อและลดการไหลของเหงื่อได้ แต่ไม่ควรใช้ที่มีส่วนผสมของน้ำหอมเพราะจะทำให้เกิดการอักเสบและทำให้รักแร้ ดำจากผื่นได้ โดยประเภทที่มีขายตามท้องตลาดนั้นมักผสมน้ำหอม ทางที่ดีจึงควรไปพบแพทย์เพื่อสั่งยาที่มีส่วนผสมของอลูมิเนียมคลอไรด์ 20% สำหรับทาระงับเหงื่อได้

4. การทำไอออนโตที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า โดยแช่น้ำแล้วใช้กระแสไฟฟ้าผลักเพื่อให้เหงื่อออกน้อยลง

5. ฉีดโบทอกซ์ซึ่งได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแล้วว่า สามารถรักษาอาการเหงื่อออกมากได้ โดยวิธีนี้จะไปยับยั้งสารที่หลั่งออกมาควบคุมระบบประสาทที่ทำให้เกิดการ หลั่งของเหงื่อ มีผลข้างเคียงน้อย ลดเหงื่อได้ 83% และหลังรับการรักษาแล้วจะแก้ปัญหาเหงื่อออกมากได้นาน 6-8 เดือน ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่สะดวกต่อผู้ที่มีเหงื่อออกมากผิดปกติ

6. ผ่าตัดเอาต่อมเหงื่อหรือเส้นประสาทที่ควบคุมต่อมเหงื่อ ซึ่งได้ผลดีแต่อาจทำให้เกิดแผลได้

7. หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลิ่น เช่น กระเทียม ทุเรียน ชะอม สะตอ เป็นต้น

หากไม่มั่นใจว่า กลิ่นตัวของเรานั้นเป็นปัญหาสำหรับผู้อื่นหรือไม่ ลองสอบถามคนรอบข้างที่ไว้ใจได้ หรือหากเป็นผู้ที่เหงื่อออกมาก และกลิ่นตัวแรง จนยาระงับกลิ่นใดๆ ก็ไม่สามารถหยุดปัญหากลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ ลองปรึกษาคุณหมอดูเพื่อหาสาเหตุให้พบและเข้าไปแก้ไขที่สาเหตุโดยตรง

 

www.teenee.com/

PostHeaderIcon กระดูกพรุน