PostHeaderIcon นักบินอวกาศผู้เหยียบดวงจันทร์คนแรกเสียชีวิตแล้ว

 
 

  

นักบินอวกาศผู้เหยียบดวงจันทร์คนแรกเสียชีวิตแล้ว

“นีล อาร์สตรอง” นักบินอวกาศคนแรก ของสหรัฐ เสียชีวิตแล้ว ด้วยวัย 82 ปี จากอาการติดเชื้อขณะเข้ารับการผ่าตัดโรคหลอดเลือดหัวใจ

วันที่ 26 ส.ค. 55 สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อช่วงดึกของวันที่ 25 ส.ค. ที่ผ่านมา ตามเวลาประเทศไทย “นีล อาร์มสตรอง” นักบินอวกาศคนแรก ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเดินทางไปเหยียบดวงจันทร์มาแล้ว กับยาน “อพอลโล 11″ เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2512 เสียชีวิตด้วยอาการติดเชื้อขณะเข้ารับการผ่าตัดโรคหลอดเลือดหัวใจ มีอายุ 82 ปี


 

 

 
รายงานข่าวระบุว่า “นีล อาร์มสตรอง” เคยเข้ารับการผ่าตัดขยายหลอดเลือดหัวใจเมื่อช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาหลังแพทย์พบอาการอุดตันที่หลอดเลือดแดงใหญ่ที่หัวใจ
ขณะที่ครอบครัวของ “อาร์มสตรอง” ออกแถลงการณ์ระบุว่า เขาเสียชีวิตระหว่างการผ่าตัดขยายหลอดเลือดหัวใจ และมีอาการติดเชื้อ แต่ไม่ได้ระบุว่าเสียชีวิตที่ใด

สำหรับ นีล อาร์มสตรอง เกิดเมื่อวันที่ 5 ส.ค. 2473 ที่เมืองวาปาโคเนตา รัฐโอไฮโอ ชื่นชอบเรื่องการบินมาตั้งแต่เด็ก เรียนขับเครื่องบินครั้งแรกเมื่ออายุ 15 ปี พออายุ 16 ปี ก็ได้ใบอนุญาตนักบิน เคยเป็นนักบินในกองทัพเรือสหรัฐฯ ปฏิบัติภารกิจ 78 ครั้งในสงครามเกาหลี โดยในปี 2498 เป็นนักบินทดสอบอยู่ที่ฐานทัพอากาศเอ็ดเวิร์ด รัฐแคลิฟอร์เนีย จากนั้นอีก 7 ปีต่อมา ได้รับเลือกจาก องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ ของสหรัฐฯ หรือ นาซา ให้มาเป็นนักบินอวกาศที่เมืองฮุสตัน รัฐเท็กซัส และ เกษียณอายุจากนาซาในปี 2514 ด้านชีวิตส่วนตัว แต่งงานกับ แคโรล ไนท์ เมื่อปี 2542 แต่มีบุตรชาย 2 คน จากการสมรสก่อนหน้านี้

นีล อาร์มสตรอง เป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ของวงการบินอวกาศของสหรัฐฯ ในฐานะเป็นนักบินอวกาศคนแรกของสหรัฐฯ ที่เดินทางไปเหยียบดวงจันทร์สำเร็จพร้อมกับเพื่อนนักบินอวกาศอีกคน “บัซ อัลดริน” ท่ามกลางผู้ชม 450 ล้านคน ที่ได้ชมการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ไปทั่วโลกที่คอยติดตามชมในวันนั้น แต่กลับเป็นเสมือนกับวีรบุรุษของชาวอเมริกันผู้ถูกละเลย

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

PostHeaderIcon ครรภ์ปลอม

 
 

 

ครรภ์ปลอมป่องเพื่ออภิสิทธิ์

 

สินค้าปลอมแปลงมีมากหลายในจีน แม้หลายคนจะบอกว่าไทยเองก็ไม่น้อยหน้า ทว่าในจีนดูเหมือนมีการปลอมสินค้าบางชนิดแบบคาดไม่ถึง อาทิ หูหมูปลอม ที่ทำจากเจลาติน และล่าสุด ก็ยังมี “ครรภ์ปลอม” ที่ตามข่าวบนเว็บไซต์ไชนาวอทช์ไทม์ระบุว่า กลายเป็นสินค้าออนไลน์ยอดนิยมชิ้นหนึ่งในจีน โดยผู้ซื้อต้องการนำไปใช้หลายวัตถุประสงค์ อาทิ ตั้งท้องหลอกๆ ก่อนไปหาเด็กบุญธรรมมาเลี้ยง หลีกเลี่ยงการถูกลอยแพจากงาน และอภิสิทธิ์ที่สตรีมีครรภ์จะได้รับจากสังคมเอื้ออาทร

 ครรภ์ปลอมราคาตกประมาณ 400-1,200 หยวน (ประมาณ 1,890-5,670 บาท) มีขนาดให้เลือกตามระยะครรภ์ แต่ละขนาดประมาณความป่องสำหรับระยะ 2-4 เดือน 5-7 เดือน 8-10 เดือน ยึดติดกับร่างกายด้วยเข็มขัดหรือกาว

                        �
คนขายคนหนึ่ง ยอมรับว่า คุณภาพครรภ์ปลอมแตกต่างกันไป และบางยี่ห้ออาจเป็นอันตรายต่อผิวหนังได้

                        �
ผู้หญิงคนหนึ่งในเมืองกวางโจว ที่คาดว่าเธอไม่สามารถมีบุตรเองได้ ยอมควักตังค์ในกระเป๋า 1,300 หยวน (ประมาณ 6,120 บาท) ซื้อครรภ์ปลอมแบบยกเซตตั้งแต่ท้องอ่อนถึงท้องแก่ สำหรับการวางแผนขอบุตรบุญธรรม และบอกใครต่อใครว่าเด็กที่ไปขอมาเป็นลูกของตน ส่วนพนักงานหญิงคนหนึ่งที่บริษัทการตลาดในนครฉงชิ่ง ใช้ครรภ์ปลอมเพื่อขอความเห็นใจทำผลงานไม่เข้าเป้า แต่ที่สุด เพื่อนร่วมงานจับสังเกตได้ และฟ้องผู้จัดการ ผลคือถูกไล่ออก

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

PostHeaderIcon Siri คืออะไร เรียนรู้ประโยชน์ที่นำมาสู่อนาคต

Siri คืออะไร เรียนรู้ประโยชน์ที่นำมาสู่อนาคตคงจะเริ่มรู้สึกว่าเดี๋ยวนี้เทคโนโลยีก้าวกระโดดจนแทบจะตามกันไม่ทัน หนึ่งในผู้นำทางอุปกรณ์ไฮเทคคงหนีไม่พ้น Apple ที่หลังจากมีข่าวเกี่ยวกับการเปิดตัว iPhone 4S ก่อเกิดคำถามมากมายถึงโปรแกรมตัวใหม่จะมีชื่อสั้นๆว่า Siri มันคืออะไรและมีประโยชน์แบบไหน เดี๋ยวเรามารู้กัน แต่ที่แน่ๆ ผมว่าตัว Siri เป็นมาตราฐานและต้นแบบของอนาคตในยุคต่อๆไปแน่นอน เปลี่ยนจาก Touch Control มาเป็น Voice Control

Follow up:

Siri เป็นเสมือนเลขาคนเก่งที่คอยช่วยเหลือเราผ่านทางอุปกรณ์ 

Siri คือ ชุดโปรแกรมที่รับคำสั่งจากเสียงที่ซับซ้อน แล้วแสดงผลออกมาเป็นแบบที่ต้องการ หรือจะให้ผมอธิบายง่ายๆก็คือ เราอยากได้อะไร ให้บอก Siri เดี๋ยวมันจัดการทำให้เอง ไม่ว่าจะเป็น การติดตามหุ้นตัวโปรด ฟังเพลงที่ชื่นชอบ คนหาที่อยู่เพื่อนรัก เปิดงานเอกสารที่ต้องการ ทุกอย่างทำได้ด้วย Siri

มุมมองใหม่ของการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีมาเป็น Voice Control ด้วย Siri

เห็นกันอยู่ทุกวันกับการโฆษณารถยนต์ยี่ฮ้อหนึ่งของอเมริกาในเรื่องการควบคุมระบบการเล่น Multimedia ด้วยชุดคำสั่งเสียง แต่คุณรู้หรือไม่ว่าคำสั่งเหล่านั้นถูกบันทึกหรือตั้งค่าล่วงหน้าไว้ก่อนที่จะมีการนำไปใช้จริง แต่โปรแกรม Siri แตกต่าง เพราะมันสามารถเรียนรู้และจดจำรูปแบบของเสียงเราได้ ซึ่งช่วงแรกของโปรแกรม Siri อาจจะมีผิดพลาดกันได้ เพราะเราก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่า เสียงที่เปล่งออกมาจากปากของผู้ใช้นั้น อาจจะถูกรบกวนด้วยสภาพแวดล้อม จนทำให้ประมวลผลออกมาผิดพลาด แต่หากใช้ Mic Bluetooth ในการออกคำสั่งก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพียงแต่เราอาจจะต้องรอ Siri เวอร์ชั่นภาษาไทยเท่านั้น

ประโยชน์ของ Siri ไม่ได้เพียงแต่มองเพียงแค่วันนี้ แต่มองก้าวข้ามไปยังอนาคต

Siri คืออะไร เรียนรู้ประโยชน์ที่นำมาสู่อนาคตจากภาพยนต์ที่เราสามารถแตะจอคอมพิวเตอร์ลากไปมาได้ จนมาถึงเราสั่งให้มันทำงานได้ คงจะทำให้ผู้อ่านพอจะมองภาพโลกในยุคต่อไปได้เป็นอย่างดี สั่งให้ Siri ทำงานเป็นผู้ช่วยเราใน iOS ได้ในวันนี้ ในอนาคตเพียงแค่เอาหุ่นยนต์ที่มีระบบการเคลื่อนไหวดีๆมาผสมเข้ากับโปรแกรม Siri ไม่นาน เราคงได้เห็นหุ่นยนต์เดินอยู่ตามท้องถนนเป็นแน่

อนาคตของ Siri เป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างที่สุด แต่ไม่ได้หมายความว่า คนที่มีกำลังทรัพย์ไม่เยอะถึงขนาดต้องรีบไปหามาใช้ เพียงแต่เรารู้ว่ามันคืออะไร เข้าใจมัน เพียงเท่านี้ เราก็ถือว่าไม่ตกยุค และพร้อมที่จะเผชิญกับอนาคตที่ทันสมัยอย่างรู้เท่าทัน

ภาพประกอบ: geeky-gadgets, blogspot

http://teeraprol.blogtika.com/?title=siri&more=1&c=1&tb=1&pb=1

PostHeaderIcon apple วันละลูกป้องกันมะเร็งได้

PostHeaderIcon เมฆสึนามิ โผล่ที่ หนองบัวลำภู

ตามที่เว็บไซต์ ข่าวสด ได้นำเสนอภาพ เมฆสินามี แผ่เข้าปกคลุมเมืองปานามาซิตี้ ชายฝั่งทะเลรัฐฟลอริด้า ล่าสุด นายวิโรจน์ คงพุฒิคุณ อายุ 48 ปี ช่างภาพสมัครเล่น บ้านอยู่ในเขตเทศบาลเมืองหนองบัวลำภู อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู เผยว่าตนเองได้บันทึกภาพ ปรากฏการณ์คล้าย เมฆสึนามิ ไว้ได้ถึง 2 ครั้งด้วยกัน

โดยนายวิโรจน์ กล่าวว่า ภาพที่ตนถ่ายมามีลักษณะเหมือนคลื่นเมฆ ซึ่งไม่เคยพบเห็นมาก่อน และหากได้ถ่ายภาพในมุมสูง ภาพก็คงจะมีลักษณะเช่นเดียวกับที่เกิดในรัฐฟลอริด้าแน่นอน

อย่างไรก็ตาม ‘เมฆสึนามิ’ เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่หาดูได้ยาก
Mthai News

PostHeaderIcon สูบบุหรี่ทำผู้ชาย “โง่” ลง

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานผลการศึกษาที่พิมพ์ในวารสารการแพทย์ชื่อดังอย่าง Archives of General Psychiatry ซึ่งศึกษาตัวอย่างเพศชายกว่า 6,000 คน และ ผู้หญิงอีก 2,100 คน ผลการศึกษาระบุว่าสารในบุหรี่จะเข้าไปทำลายส่วนต่างๆ ของสมองจนมีประสิทธิภาพการทำงานลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว หรือ สมองจะโง่ลง นั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเพศชาย

อย่างไรก็ตาม นายเซเวริน เซเบีย ผู้เชี่ยวชาญจาก มหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน (UCL) ยังกล่าวอีกว่า ผลวิจัยนี้ยังครอบคลุมถึงนักสูบขาจร ที่สูบเฉพาะเวลาออกงาน หรือเข้าสังคมอีกด้วย


Mthai News

PostHeaderIcon สาวอินเดีย 3 พี่น้อง ป่วยโรคมนุษย์หมาป่า

Mthainews: สำนักข่าวต่างประเทศรายงาน พบพี่น้องหญิงชาวอินเดีย 3 คน มีใบหน้า รวมทั้งร่างกายที่เต็มไปด้วยขน หรือที่เรียกว่า  โรคมนุษย์หมาป่า เกิดจากความผิดปกติของขนตามร่างกายทำใ้ห้เกิดขน ขึ้นหนาแน่น และมีความยาวมากกว่าปกติ

สาวิตรา  วัย 23 ปี โมนิชา วัย 18 ปี และ สาวิตรี วัย 16 ปี พักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆในรัฐปูเน่ ตอนกลางของอินเดีย พวกเธอทั้งสามคนพยายามรักษาโรคด้วยตนเองโดยการทาครีม หวังว่าจะหายจากโรค และก็เชื่อว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญด้านเลเซอร์รักษาเพื่อขจัดขนที่มากเกินปกติออกไป

PostHeaderIcon ไขมันเปลี่ยนเป็นกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อกลายเป็นไขมัน!?

      1 ในความเชื่อผิดๆ ของคนที่พึ่งเริ่มออกกำลังกาย คือ ไขมันของเราสามารถเปลี่ยนเป็นกล้ามเนื้อได้ ถ้าเราออกกำลังกาย เข้าฟิตเนส หรือยิม และคนที่มีกล้ามใหญ่ๆ  หากทิ้งไว้ไม่ออกกำลังกายเลย กล้ามจะกลายเป็นไขมัน แล้วจะเปลี่ยนเป็นคนอ้วน แทน

       ในความเป็นจริงแล้ว ไขมันไม่มีทางที่จะเปลี่ยนเป็นกล้ามเนื้อได้ แต่อาจจะเพราะความเชื่อที่ว่าให้กินเยอะๆ ตอนที่จะสร้างกล้าม ตัวจะได้ใหญ่ๆ แล้วมันจะกลายเป็นกล้ามตอนเรายกเวท หรือเข้ายิม ในความเป็นจริงแล้วกล้ามเนื้อนั้นถ้ามันจะใหญ่ขึ้นได้ มันเกิดจากเราใช้งานมันหนัก เกินกว่าการทำงานในปกติของมัน จนเกิดการฉีกขาดของกล้ามเนื้อบางส่วน ซึ่งก็คือเกิดจากการเข้าฟิตเนสเข้ายิมนั่นเอง จากนั้นร่างกายก็จะพัฒนาและซ่อมแซมกล้ามเนื้อที่เสียหายนั้น เพื่อให้สามารถทนต่อการใช้งานที่หนักขึ้นได้ และสิ่งที่ทำให้เกิดการพัฒนาและซ่อมแซมนั้นก็คือโปรตีน และสารอาหาร บวกกับการพักผ่อนที่เพียงพอ ไม่ได้เกิดจากการดึงไขมันมาเปลี่ยนเป็นกล้ามอย่างที่เข้าใจผิดกัน

        ในทางกลับกัน กล้ามเนื้อก็ไม่สามารถกลายเป็นไขมันได้ด้วยเหตุผลเดียวกัน เพราะไขมันคือพลังงานเหลือใช้ที่ร่างกายเราเก็บสะสม ไว้หากเรากินอาหารโดยเฉพาะจำพวกแป้งและไขมัน มากเกินกว่าที่ร่างกายเราจะดึงไปใช้เป็นพลังงานมันจะถูกเก็บสะสมไว้ในรูปของไขมันยิ่งไม่ใช้ มันยิ่งจะเพิ่มขึ้น  ต่างจากกล้ามเนื้อที่หากเรายิ่งไม่ได้ใช้มัน ร่างกายเราจะคิดว่ากล้ามเนื้อส่วนที่ไม่ได้ใช้งาน เป็นส่วนที่กินพลังงานเกินความจำเป็น เพราะยิ่งมีกล้ามเนื้อมาก มันก็จะยิ่งใช้พลังงานมากในการทำงาน ดังนั้นหากคนที่มีกล้ามหรือเล่นกล้าม หยุดหรือลดการใช้กล้ามเนื้อของเค้า ร่างกายก็จะเริ่มปรับสภาพ ลดกล้ามเนื้อที่กินพลังงานเกินความจำเป็นลง แต่ในทางกลับกัน ถ้าหากเรายังกินเท่ากับตอนที่เรายังพยายามสร้างกล้ามเนื้ออยู่ สารอาหารหรือพลังงานที่เกินมาพวกนั้นก็จะสะสมอยู่ในรูปไขมันแทน ทำให้ดูเหมือนว่ากล้ามเนื้อเรานิ่มลงจนกลายเป็นไขมันนั่นเอง

http://www.gmlive.com

PostHeaderIcon พิษไข่แมงดา


น.พ.เด่นชัย ศรกิจ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดชลบุรี ได้ออกโรงกล่าวเตือนนักท่องเที่ยว ว่าให้พยายามหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหาร ประเภทไข่แมงดาทะเลในช่วงเดือน ก.พ.-มิ.ย. เนื่องจากช่วงระยะเวลาดังกล่าวไข่แมงดามีพิษรุนแรงนั่นเอง

ซึ่งเมื่อวันที่ 25 ม.ค. ที่ผ่านมาได้พบผู้ป่วยจากพิษไข่แมงดาเป็นรายแรก และได้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลจังหวัดชลบุรีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

สำหรับอาการทั่วไปหากได้รับพิษไข่แมงดานั้น ปกติจะเกิดขึ้นประมาณ 10-45 นาที ถึง 3 ชั่วโมง หลังรับประทานเข้าไป โดยจะมีอาการมึนงง รู้สึกชาบริเวณลิ้น ปาก ปลายมือ ปลายเท้า และมีกล้ามเนื้ออ่อน รวมทั้งอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย ในรายที่มีอาการรุนแรงมาก อาจเสียชีวิตภายใน 6-24 ชั่วโมง

 Mthai News

PostHeaderIcon ความมืดมีประโยชน์ ต้านมะเร็ง-ลดน้ำหนัก

 

 

ความมืดเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับโรคมะเร็ง และช่วยลดน้ำหนักตัวได้ด้วย นักวิทยาศาสตร์บอกว่า การได้รับแสงสว่างมากเกินไปในเวลากลางคืน มีความเชื่อมโยงกับมะเร็งเต้านม ซึ่งจากรายงานวิจัยของสถาบันมะเร็งแห่งชาติของสหรัฐระบุว่า การได้รับแสงสว่างจากไฟฟ้ามากไปในเวลากลางคืนก็สามารถลดภูมิต้านทานของคนเราต่อโรคนี้ด้วย

แสงสว่างในตอนกลางคืนจะรบกวนการผลิต “ฮอร์โมนความมืด” นั่นคือ เมลาโทนิน ซึ่งเป็นสารตามธรรมชาติชนิดหนึ่งที่ช่วยต้านมะเร็ง ผลิตจากต่อมไพเนียล หรือต่อมใต้สมอง เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งบางชนิดได้ โดยเฉพาะเมื่อทำงานร่วมกับยาต้านมะเร็งบางชนิด นอกจากนี้ เมลาโทนินยังช่วยกระตุ้นเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดหนึ่ง ซึ่งคอยโจมตีเนื้องอกด้วย

ความมืดไม่เพียงแต่จะส่งผลต่อมะเร็งเต้านมเท่านั้น นักวิจัยของมหาวิทยาลัยไฮฟาในอิสราเอล ยังพบว่า ในประเทศที่ติดไฟส่องสว่างตามท้องถนนอย่างมากมาย จะมีคนเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากในอัตราสูง ซึ่งแสงสว่างจากไฟฟ้าไม่เพียงยับยั้งการผลิตเมลาโทนิน หากยังบั่นทอนระบบภูมิคุ้มกัน และรบกวนนาฬิกาชีวภาพในร่างกายด้วย ทั้งหมดนี้จะลดการต่อต้านมะเร็งต่อมลูกหมากตามธรรมชาติ

“นี่ไม่ได้หมายความว่าเราต้องย้อนเวลากลับไปในยุคกลาง ปิดไฟให้มืดหมด” ศาสตราจารย์อับราฮัม อาอิม บอก “แต่เราต้องคำนึงถึงเรื่องนี้เมื่อกำหนดนโยบายพลังงาน”

เขาพบว่า ผู้ชายในกลุ่มประเทศที่ได้รับไฟส่องสว่างตอนกลางคืนสูงที่สุด จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 80% ต่อโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก เมื่อเทียบกับผู้ชายในกลุ่มที่ได้รับแสงสว่างตอนกลางคืนน้อยที่สุด

นอกจากนั้นแล้ว ความมืดยังส่งผลดีดังนี้

ช่วยให้อารมณ์ดี

 แสงสีฟ้าจากจอโทรทัศน์ได้ยับยั้งฮอร์โมนเมลาโทนินซึ่งช่วยให้อารมณ์ดี ดังนั้นการดูทีวีจนดึกดื่นจึงทำให้อารมณ์ไม่แจ่มใส “อัตราการเป็นโรคซึมเศร้าที่เพิ่มขึ้น มีความสัมพันธ์กับการใช้แสงสว่างเพิ่มขึ้นในเวลากลางคืนของสังคมสมัยใหม่” ศาสตราจารย์แรนดีบอก


ช่วยให้นอนหลับ

ผลวิจัยแสดงให้เห็นว่า คนงานระบบกะที่ได้นอนหลับในห้องที่มีการดับไฟหรือม่านบังแสง จะนอนหลับได้ดีกว่าคนที่นอนในห้องที่สว่าง

การใส่ผ้าปิดตาในตอนกลางคืนจะช่วยให้คนที่นอนไม่ค่อยหลับสามารถหลับได้ดีขึ้น ในช่วงพักผ่อนตอนกลางคืนนั้น สมองจะเปลี่ยนสิ่งที่ได้ประสบพบเห็นเป็นความทรงจำ และพัฒนาขีดความสามารถในการเรียนรู้ ขณะที่ร่างกายจะผลิตเซลล์ใหม่ขึ้นทดแทนเซลล์เก่า และเติมพลังแก่อวัยวะและกล้ามเนื้อช่วยลดน้ำหนัก

ช่วยลดน้ำหนัก

เมื่อถึงยามกลางคืน การดับไฟอยู่ในที่มืดจะช่วยลดการกินจุบกินจิบในตอนดึก คนที่ใช้ชีวิตในแสงสว่างมากๆ มักไม่สามารถลดน้ำหนักตัวได้

การกินในยามค่ำคืนยังรบกวนการทำงานของฮอร์โมนต่าง ๆ เช่น เลปติน, คอร์ติโซล, และอินซูลิน ที่ควบคุมความอยากอาหารและระดับน้ำตาลในเลือด ถ้าฮอร์โมนเหล่านี้ถูกรบกวนเพราะเราไม่ยอมนอนเมื่อถึงเวลากลางคืน เมื่อเวลาผ่านไปการเผาผลาญอาหารจะช้าลง ความอยากอาหารจะเพิ่มขึ้น สถิติบ่งชี้ว่า ผู้หญิงที่กินตอนกลางคืน จะกินอาหารประเภทน้ำตาลและไขมันมากกว่าผู้หญิงที่นอนหลับตามความจำเป็นถึง 33% เลยทีเดียว

ตั้งนาฬิกาชีวภาพใหม่

ความมืดเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาความเที่ยงตรงของนาฬิกาในตัวเรา แต่ขณะที่บรรพบุรุษของเราเข้านอนเมื่อมืดลง และนอนเร็วขึ้นในฤดูหนาวนั้น พวกเรากลับตื่นอยู่จนดึกดื่นค่อนคืน บางคนยังคงช็อปปิ้ง ทำงาน ใช้คอมพิวเตอร์ ดูทีวี หรือนอนหลับก็ยังเปิดไฟ การรบกวนวงจรเวลาของร่างกายเช่นนี้ ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพหลายอย่าง

 ที่มา : http://www.vchakarn.com